webmaster
05-02-2011, 18:34
ความปลอดภัยของการขับขี่เป็นเรื่องที่สำคัญ ทำให้การเลือกซื้อยางรถยนต์เป็นสิ่งที่เจ้าของรถทุกคนให้ความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากยางคือสิ่งที่ต้องสัมผัสกับพื้นถนนอยู่ตลอดเวลา การยึดเกาะถนน การทนทานต่อความร้อนและแรงเสียดทาน เป็นสิ่งที่สำคัญต่อความปลอดภัยในการเดินทาง
ทว่าหลายคนก็ยังมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการเลือกซื้อยางอยู่ เพราะได้รับฟัง หรือได้อ่านเรื่องราวความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับอายุการผลิตของยาง จนทำให้เจ้าของรถในเมืองไทยจำนวนไม่น้อย คำนึงถึงวันผลิตที่ติดอยู่บนแก้มยางหรือ DOT มากจนเกินความจำเป็น เพราะแท้จริงแล้วการเลือกซื้อยางที่ถูกต้อง ควรเลือกซื้อยางที่มีขนาดที่ถูกต้อง เหมาะกับประเภทของรถ การใช้งาน คุณภาพ และควรให้ความใส่ใจการดูแลรักษายาง
http://pics.manager.co.th/Images/554000000849302.JPEG
กรมคมนาคมของประเทศสหรัฐอเมริกา ยังเคยตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับ “ประสิทธิภาพของยางรถที่มีการเติมลมแล้ว (The Pneumatic Tier)” ใน เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 โดยระบุว่า ความร้อนที่เกิดขึ้นขณะที่ยางมีการใช้งาน คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยางเสื่อมสภาพ ยางรถยนต์ที่วิ่งด้วยความเร็ว 120 ก.ม.ต่อชั่วโมง สามารถทำให้เกิดอุณหภูมิที่หน้ายางสูงขึ้นถึง 75 องศาเซลเซียส แต่หากความดันในลมยางน้อยกว่าปกติ (เช่น ยางแบน) ก็จะยิ่งทำให้ความร้อนหน้ายางสูงมากกว่าที่ควรจะเป็นด้วย ดังนั้น อุณหภูมิในโกดังที่จัดเก็บยางรถยนต์ก่อนการใช้งานจริง จึงมีผลต่อคุณภาพของเนื้อยางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับความร้อนที่เกิดจากแรงเสียดสีเมื่อนำยางไปใช้ในการขับขี่จริง เพราะโดยทั่วไปนั้น ยางที่ยังไม่ได้ถูกนำไปใช้งาน สามารถเก็บได้เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปีก่อนการใช้งานจริง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเก็บรักษาจากคำแนะนำของบริษัทผู้ผลิต
อีกตัวอย่างหนึ่งได้จากการทดสอบของประเทศในฝั่งยุโรป โดยองค์กร ADAC ซึ่งเป็นหน่วยงานเพื่อผู้ขับขี่รถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเยอรมนี ได้พิสูจน์เรื่องสมรรถนะของยางเอาไว้ในเดือนมิถุนายน 2553 โดยได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพยางรถยนต์ที่ผลิตใน พ.ศ. 2550 และ พ.ศ. 2547 สำหรับการขับขี่ในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อน ซึ่งผลการทดสอบก็ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่า ยางที่ผลิตใหม่จะมีสมรรถนะเหนือกว่ายางที่ผลิตมานานกว่า
ขณะเดียวกัน ทางประเทศไทยเอง ก็มีหน่วยงานภาควิชาการที่ได้ทำการทดสอบในลักษณะเดียวกัน โดยคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ TUV Rheinland Group Ltd. ซึ่ง เป็นบริษัทที่ทำหน้าที่ทดสอบและให้การรับรองคุณภาพแก่ผลิตภัณฑ์และสินค้าของ บริษัทชั้นนำทั่วโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศเยอรมนี ทำการทดสอบเพื่อหาข้อพิสูจน์ว่า ในสภาพแวดล้อมของประเทศไทยนั้น สมรรถนะของยางที่ผลิตใหม่กับยางที่ผลิตมานานกว่าจะมีความแตกต่างกันในด้าน ประสิทธิภาพและความปลอดภัยหรือไม่
จึงได้นำยางรถยนต์ที่มีวัน ผลิตต่างกันหนึ่งปี ไปทดสอบการใช้งาน โดยการขับขี่ด้วยความเร็วสูงที่ 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในระยะเวลาที่ต่อเนื่องนาน 60 นาที ผลที่ได้จากการทดสอบพบว่ามีความแตกต่างกันไม่เกินหนึ่งเปอร์เซ็นต์ รวมทั้งยังมีความสามารถในการบรรทุกหนักและวิ่งเป็นระยะทางไกลตลอดจนความแข็ง แรงของหน้ายางและโครงสร้างยางไม่แตกต่างกัน ทั้งๆ ที่วันผลิตยางนั้นห่างกันถึงหนึ่งปี
http://pics.manager.co.th/Images/554000000849301.JPEG
นอกจากนั้น TUV Rheinland Group Ltd. ยังได้ทำการทดสอบว่า วันที่ของการผลิตที่แตกต่างกัน จะมีผลต่อสมรรถนะของยางในด้านความสามารถในการเกาะถนน การควบคุมการขับขี่และการเบรคของยางหรือไม่ โดย TUV Rheinland Group Ltd ได้ทำการทดสอบระยะการเบรคที่ความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจนกระทั่งหยุดนิ่ง ผลการทดสอบพบว่ายางที่มีวันที่ของการผลิตแตกต่างกัน มีความสามารถในการเกาะถนน การควบคุมการขับขี่ และการเบรคใกล้เคียงกันมาก จนแทบจะไม่มีความแตกต่าง
นายชูเดช ดีประเสริฐกุล อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ยางที่มีวันที่การผลิตต่างกันสองถึงสามปีจะให้สมรรถนะและประสบการณ์การ ขับขี่ในระดับที่ไม่แตกต่างกัน แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องขึ้นอยู่กับการเก็บรักษายางในร้านด้วยว่ามีการควบคุมอุณหภูมิและ ความชื้นที่เหมาะสม รวมทั้งไม่โดนแดด เพราะอาจจะทำให้หน้ายางมีความยืดหยุ่นน้อยลงและแข็งขึ้น ดังนั้น การเลือกซื้อยางในร้านที่เชื่อถือได้จึงมีความสำคัญ แทนที่จะคำนึงเรื่องวันเดือนปีที่ผลิตเป็นหลัก”
“ส่วนความเชื่อที่ว่ายางรุ่นเดียวกันถ้ายิ่งผลิตใหม่ที่สุดก็จะยิ่ง ทำให้ได้รับยางที่ผลิตโดยเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้นและมีวัตถุดิบที่ดีขึ้นก็ ไม่ได้รับการยืนยัน เพราะยางในแต่ละรุ่นนั้นจะมีการใช้วัตถุดิบและเทคโนโลยีเช่นเดียวกัน บางครั้งยางที่ผลิตก่อนอาจจะมีเหนียวของยางมากกว่า ซึ่งทำให้การขับขี่มีสมรรถนะยิ่งขึ้น สำหรับคำแนะนำในการเลือกซื้อยางสำหรับผู้ขับขี่ชาวไทย คือ ต้องเลือกยางที่เหมาะสมกับการใช้งานและขนาดของล้อ ส่วนวันที่ผลิตนั้นไม่ถือเป็นสิ่งที่มีผลโดยตรงต่อการเสื่อมสภาพของยางแต่ อย่างใด” นายชูเดช กล่าวสรุป
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ผู้ใช้รถยนต์ทุกท่านจะมีวิธีการเลือกซื้อยางที่ถูก ต้องและมอบความปลอดภัยแก่การขับขี่มากที่สุด การเสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายในการเลือกหายางที่ใหม่ที่สุดเพื่อใช้งานจะหมด ไป เพราะในวันนี้มีผลพิสูจน์จากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือทั่วโลกแล้วว่ายางใหม่ และยางเก่าไม่แตกต่างกัน
----------------------------------------------------------------------
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 กุมภาพันธ์ 2554 13:12 น.
http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9540000007941
ทว่าหลายคนก็ยังมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการเลือกซื้อยางอยู่ เพราะได้รับฟัง หรือได้อ่านเรื่องราวความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับอายุการผลิตของยาง จนทำให้เจ้าของรถในเมืองไทยจำนวนไม่น้อย คำนึงถึงวันผลิตที่ติดอยู่บนแก้มยางหรือ DOT มากจนเกินความจำเป็น เพราะแท้จริงแล้วการเลือกซื้อยางที่ถูกต้อง ควรเลือกซื้อยางที่มีขนาดที่ถูกต้อง เหมาะกับประเภทของรถ การใช้งาน คุณภาพ และควรให้ความใส่ใจการดูแลรักษายาง
http://pics.manager.co.th/Images/554000000849302.JPEG
กรมคมนาคมของประเทศสหรัฐอเมริกา ยังเคยตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับ “ประสิทธิภาพของยางรถที่มีการเติมลมแล้ว (The Pneumatic Tier)” ใน เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 โดยระบุว่า ความร้อนที่เกิดขึ้นขณะที่ยางมีการใช้งาน คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยางเสื่อมสภาพ ยางรถยนต์ที่วิ่งด้วยความเร็ว 120 ก.ม.ต่อชั่วโมง สามารถทำให้เกิดอุณหภูมิที่หน้ายางสูงขึ้นถึง 75 องศาเซลเซียส แต่หากความดันในลมยางน้อยกว่าปกติ (เช่น ยางแบน) ก็จะยิ่งทำให้ความร้อนหน้ายางสูงมากกว่าที่ควรจะเป็นด้วย ดังนั้น อุณหภูมิในโกดังที่จัดเก็บยางรถยนต์ก่อนการใช้งานจริง จึงมีผลต่อคุณภาพของเนื้อยางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับความร้อนที่เกิดจากแรงเสียดสีเมื่อนำยางไปใช้ในการขับขี่จริง เพราะโดยทั่วไปนั้น ยางที่ยังไม่ได้ถูกนำไปใช้งาน สามารถเก็บได้เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปีก่อนการใช้งานจริง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเก็บรักษาจากคำแนะนำของบริษัทผู้ผลิต
อีกตัวอย่างหนึ่งได้จากการทดสอบของประเทศในฝั่งยุโรป โดยองค์กร ADAC ซึ่งเป็นหน่วยงานเพื่อผู้ขับขี่รถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเยอรมนี ได้พิสูจน์เรื่องสมรรถนะของยางเอาไว้ในเดือนมิถุนายน 2553 โดยได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพยางรถยนต์ที่ผลิตใน พ.ศ. 2550 และ พ.ศ. 2547 สำหรับการขับขี่ในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อน ซึ่งผลการทดสอบก็ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่า ยางที่ผลิตใหม่จะมีสมรรถนะเหนือกว่ายางที่ผลิตมานานกว่า
ขณะเดียวกัน ทางประเทศไทยเอง ก็มีหน่วยงานภาควิชาการที่ได้ทำการทดสอบในลักษณะเดียวกัน โดยคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ TUV Rheinland Group Ltd. ซึ่ง เป็นบริษัทที่ทำหน้าที่ทดสอบและให้การรับรองคุณภาพแก่ผลิตภัณฑ์และสินค้าของ บริษัทชั้นนำทั่วโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศเยอรมนี ทำการทดสอบเพื่อหาข้อพิสูจน์ว่า ในสภาพแวดล้อมของประเทศไทยนั้น สมรรถนะของยางที่ผลิตใหม่กับยางที่ผลิตมานานกว่าจะมีความแตกต่างกันในด้าน ประสิทธิภาพและความปลอดภัยหรือไม่
จึงได้นำยางรถยนต์ที่มีวัน ผลิตต่างกันหนึ่งปี ไปทดสอบการใช้งาน โดยการขับขี่ด้วยความเร็วสูงที่ 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในระยะเวลาที่ต่อเนื่องนาน 60 นาที ผลที่ได้จากการทดสอบพบว่ามีความแตกต่างกันไม่เกินหนึ่งเปอร์เซ็นต์ รวมทั้งยังมีความสามารถในการบรรทุกหนักและวิ่งเป็นระยะทางไกลตลอดจนความแข็ง แรงของหน้ายางและโครงสร้างยางไม่แตกต่างกัน ทั้งๆ ที่วันผลิตยางนั้นห่างกันถึงหนึ่งปี
http://pics.manager.co.th/Images/554000000849301.JPEG
นอกจากนั้น TUV Rheinland Group Ltd. ยังได้ทำการทดสอบว่า วันที่ของการผลิตที่แตกต่างกัน จะมีผลต่อสมรรถนะของยางในด้านความสามารถในการเกาะถนน การควบคุมการขับขี่และการเบรคของยางหรือไม่ โดย TUV Rheinland Group Ltd ได้ทำการทดสอบระยะการเบรคที่ความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจนกระทั่งหยุดนิ่ง ผลการทดสอบพบว่ายางที่มีวันที่ของการผลิตแตกต่างกัน มีความสามารถในการเกาะถนน การควบคุมการขับขี่ และการเบรคใกล้เคียงกันมาก จนแทบจะไม่มีความแตกต่าง
นายชูเดช ดีประเสริฐกุล อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ยางที่มีวันที่การผลิตต่างกันสองถึงสามปีจะให้สมรรถนะและประสบการณ์การ ขับขี่ในระดับที่ไม่แตกต่างกัน แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องขึ้นอยู่กับการเก็บรักษายางในร้านด้วยว่ามีการควบคุมอุณหภูมิและ ความชื้นที่เหมาะสม รวมทั้งไม่โดนแดด เพราะอาจจะทำให้หน้ายางมีความยืดหยุ่นน้อยลงและแข็งขึ้น ดังนั้น การเลือกซื้อยางในร้านที่เชื่อถือได้จึงมีความสำคัญ แทนที่จะคำนึงเรื่องวันเดือนปีที่ผลิตเป็นหลัก”
“ส่วนความเชื่อที่ว่ายางรุ่นเดียวกันถ้ายิ่งผลิตใหม่ที่สุดก็จะยิ่ง ทำให้ได้รับยางที่ผลิตโดยเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้นและมีวัตถุดิบที่ดีขึ้นก็ ไม่ได้รับการยืนยัน เพราะยางในแต่ละรุ่นนั้นจะมีการใช้วัตถุดิบและเทคโนโลยีเช่นเดียวกัน บางครั้งยางที่ผลิตก่อนอาจจะมีเหนียวของยางมากกว่า ซึ่งทำให้การขับขี่มีสมรรถนะยิ่งขึ้น สำหรับคำแนะนำในการเลือกซื้อยางสำหรับผู้ขับขี่ชาวไทย คือ ต้องเลือกยางที่เหมาะสมกับการใช้งานและขนาดของล้อ ส่วนวันที่ผลิตนั้นไม่ถือเป็นสิ่งที่มีผลโดยตรงต่อการเสื่อมสภาพของยางแต่ อย่างใด” นายชูเดช กล่าวสรุป
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ผู้ใช้รถยนต์ทุกท่านจะมีวิธีการเลือกซื้อยางที่ถูก ต้องและมอบความปลอดภัยแก่การขับขี่มากที่สุด การเสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายในการเลือกหายางที่ใหม่ที่สุดเพื่อใช้งานจะหมด ไป เพราะในวันนี้มีผลพิสูจน์จากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือทั่วโลกแล้วว่ายางใหม่ และยางเก่าไม่แตกต่างกัน
----------------------------------------------------------------------
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 กุมภาพันธ์ 2554 13:12 น.
http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9540000007941