อ้วนดำ
08-01-2013, 16:10
เริ่มจาก... ล้างรถ เรื่องง่ายๆ ที่ง่ายจนคาดไม่ถึง:
เคล็ดลับง่าย ๆ ของการล้างรถให้สะอาด ไม่เกิดรอย และไม่ทำลายสีรถ
1. เริ่มจากฉีดน้ำครับ ฉีดน้ำให้แรงที่สุด เพื่อให้คราบฝุ่น ขี้ดิน และสิ่งสกปรกต่างๆ หลุดออกจากตัวรถให้มากที่สุด
2. โดยปกติแล้ว การล้างรถด้วยน้ำเปล่าอย่างเดียวก็สะอาดเพียงพอแล้ว แต่อาจต้องใช้แรงในการขัดถูมากหน่อย ถ้าอยากให้ล้างง่ายขึ้น สะอาดใสปิ๊ง ก็ให้ใช้แชมพูล้างรถร่วมด้วยครับ
3. รถก็เหมือนบ้าน เวลาทำความสะอาดต้องเริ่มจากด้านบนก่อน แล้วค่อยๆ ล้างจากส่วนบน ลงล่างนะครับ
4. แนะนำให้ใช้ผ้านุ่ม ๆ เช่น ผ้าสำลี ในการล้างรถครับ ไม่ควรใช้ฟองน้ำล้างรถ เพราะเม็ดทรายหรือฝุ่น จะติดอยู่ในรูพรุนของฟองน้ำ เมื่อถูไปกับผิวสีรถ จะทำให้เกิดรอยขีดข่วน และถ้าทำได้ควรจะนำผ้าไปแช่น้ำไว้ก่อน ยิ่งถ้าใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มด้วยจะดีมากเลยครับ และในขณะที่ล้างรถก็ต้องหมั่นซักและขยี้ผ้าบ่อยๆ ด้วยครับ
5. โดยทั่วไปส่วนบนของรถจะมีฝุ่นน้อย ในขณะที่ด้านล่างจะสกปรกและมีฝุ่นมาก จึงขอแนะนำให้แยกใช้ผ้า 3 ผืน ผืนแรกใช้สำหรับล้างส่วนบน หลังคา ฝากระโปรงหน้า ฝากระโปรงหลัง และกระจกรถ ผืนที่สองใช้ล้างด้านล่างของตัวรถ ตั้งแต่ขอบกระจก ด้านล่างลงมา ผืนสุดท้าย ใช้สำหรับทำความสะอาดล้อ และส่วนอื่นที่สกปรกมาก ถ้ามีผ้าผืนเดียว ก็แนะนำให้ซักผ้าบ่อยๆ นะครับ เพื่อเอาเศษฝุ่น โคลน ออกจากผ้า รถจะได้สะอาดครับ
6. ฉีดน้ำไล่แชมพูออกให้หมด ใช้ผ้าแห้งนุ่มเช็ดรถให้แห้งทันที จะได้ไม่มีฝุ่นเกาะ และไม่เกิดคราบน้ำบนผิวสีรถ
หมายเหตุ: ถ้าล้างเองคนเดียวที่บ้าน แนะนำให้ทำการล้างล้อก่อนนะครับ เพราะถ้าเราล้างตัวรถก่อน แล้วมาล้างล้อทีหลัง จะทำให้คราบน้ำ คราบแชมพูแห้ง และทำให้เกิดปัญหาคราบน้ำได้ครับ
การใช้น้ำฉีดเป็นวิธีที่ดีสำหรับการล้างรถ แต่ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่จำเป็นต้องล้างรถ โดยใช้ถังใส่น้ำ จงท่องจำเอาไว้ในใจว่า ต้องหมั่นซักและขยี้ผ้า และต้องเปลี่ยนน้ำในถังบ่อย ๆ มิฉะนั้น สิ่งสกปรก และเม็ดทรายที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำ อาจทำให้เกิดริ้วรอยขีดข่วนบนรถได้ครับ
ล้างแทบแย่แต่ถ้าเช็ดไม่ดีก็จบกัน
...ล้างแทบแย่ แต่ถ้าเช็ดไม่ดีก็จบกัน...
1. ควรใช้ผ้านุ่ม ๆ ในการเช็ดรถ เนื่องจากผ้าเหล่านี้จะไม่ทำให้รถเป็นรอย การเช็ดรถที่ถูกต้องก็เหมือนกับการล้าง คือควรเช็ดจากด้านบนไล่ลงมาด้านล่างของรถ เพื่อให้น้ำหยดลงด้านล่างให้หมด จะได้ไม่ต้องทำงานสองต่อครับ
2. ส่วนของรถที่ต้องระวัง คือ ด้านในขอบประตูทั้งหมด ด้านในกระโปรงหลัง ด้านในฝาถังน้ำมัน กระจกหน้ารถ ควรเช็ดให้แห้งที่สุด อย่ามองข้ามเป็นอันขาดนะครับ
3. ล้อแม็กซ์ ก็ควรจะเช็ดให้แห้งด้วย เพราะถ้าไม่เช็ดจะเกิดเป็นคราบน้ำขึ้น ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ คราบน้ำเหล่านั้นจะเช็ดออกยากจนถึงเช็ดไม่ออกเลยนะครับ
สิ่งเล็กน้อยมี่ไม่ควรมองข้าม
สิ่งเล็กน้อยมี่ไม่ควรมองข้าม
1. ไม่ควรล้างรถเองในตอนเย็น เพราะหากล้างแล้วจอดทิ้งไว้ อาจทำให้เกิดสนิมในจุดที่เราเช็ดไม่แห้ง เว้นเสียแต่ว่า คุณจะมีเครื่องเป่าน้ำให้แห้ง หรือไม่ก็ต้องยอมเปลืองน้ำมันเอารถออกไปขับไกล ๆ ให้ลมช่วยทำให้ทุกซอยทุกมุมแห้งสนิท วิธีนี้คุณผู้ชายอาจใช้เป็นข้ออ้างในการออกจากบ้านตอนเย็นๆ ได้นะครับ ไม่ว่ากัน
2. ไม่ควรล้างรถกลางแดด เพราะนอกจากคนล้างอาจไม่สบายได้แล้ว แสงแดดจะทำให้น้ำแห้งเร็วจนเช็ดไม่ทัน ซึ่งอาจทำให้เกิดคราบน้ำบนผิวสีรถได้
3. ไม่ควรใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดรถแทนการล้างรถ เพราะจะเป็นการทำลายสภาพสี ผงฝุ่นต่างๆ ที่ติดบนผ้าจะทำให้เกิดรอยขนแมวยิ่งเช็ดรถมากครั้งขึ้นเท่าไหร่ การเกิดรอยก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
4. ไม่ควรใช้ไม้ขนไก่ หรือแปรงปัดฝุ่นทุกชนิด ปัดฝุ่น เพื่อทำความสะอาด เพราะมันเหมือนกับการใช้กระดาษทรายเช็ดรถเลยทีเดียว ในขณะที่ปัดฝุ่น ไม้ปัดฝุ่นจะลากถูฝุ่นหรือเม็ดทรายไปตามผิวสีรถ ทำให้เกิดริ้วรอยได้
เคลือบสีรถด้วยตนเอง
เคลือบสีรถด้วยตนเอง
รถยนต์ทุกคันมีอายุการใช้งานของสี แม้สีที่พ่นรถมาจะมีประสิทธิภาพสูง แต่สภาพอากาศบ้านเรา มีมลภาวะค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็น ฝุ่นละออง ควัน ไอเสีย สารเคมีในอากาศ ยางต้นไม้ ซึ่งอาจทำอันตรายต่อสีรถได้ หากใช้รถไปนานวัน แต่ไม่มีการดูแลรักษา สีรถจะดูหมอง เก่า ด้าน และสีแตกก่อนเวลาอันควร ดังนั้นการเคลือบสีจึงมีส่วนช่วยในการปกป้องสีรถ ไม่ให้หมอง เก่า ด้าน หรือสีแตกก่อนเวลาอันควร อีกทั้งยังช่วยป้องกันรอยขีดข่วน รอยขนแมว และความร้อนจากห้องเครื่องและแสงแดด ที่สามารถทำลายสีรถ ตลอดจน ปกป้องรถจากคราบสกปรกต่างๆ ที่เกิดจากมูลนก ยางไม้ น้ำค้าง ยางมะตอยได้
การเคลือบสีก็ไม่ยากครับ ก่อนอื่นก็เริ่มจากล้างรถให้สะอาดตามวิธีการข้างต้น แต่ไม่ต้องเช็ดแห้งนะครับ เช็ดรถแค่พอให้น้ำหมาด ๆ จากนั้นก็เทน้ำยาเคลือบสี ลงบนผ้านุ่มที่มีน้ำหมาด ๆ ขอเน้นว่าผ้านุ่มเท่านั้นนะครับ แล้วก็เริ่มเช็ดโดยวน เป็นก้นหอยให้ทั่วบริเวณตัวรถ ทิ้งน้ำยาไว้ตามระยะเวลาที่ระบุไว้ข้างกระป๋อง (ถ้าเป็นของคาร์แลค 68 จะทิ้งน้ำยาไว้ประมาณ 30 นาที) ช่วงนี้ก็พักไปทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ตามใจชอบ หรือถ้ามีเวลาเยอะหน่อยจะทิ้งไว้ทั้งวัน เคลือบเช้า เช็ดเย็นก็ยังได้ แบบว่ายิ่งนานยิ่งดี แต่ไม่ต้องถึงขนาดข้ามวันข้ามคืนนะครับ อันนี้เกินไปนิด พอครบกำหนดก็ใช้ผ้านุ่มเช็ดน้ำยาออกให้หมด แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จ ที่เหลือก็แค่... ใช้ตาครับ ชื่นชมกับผลงานของคุณเอง รับรองครับว่าหายเหนื่อยครับ
แม้ว่าการเคลือบสีจะเป็นการปกป้องสีรถ แต่หากเคลือบสีอย่างเดียวบ่อยๆ สีรถอาจจะดูหมอง ๆ ไปบ้าง เนื่องจากบนผิวสีรถ อาจมีคราบสกปรก หรือคราบมลภาวะ มลพิษที่อาจจะทำลายแลคเกอร์ของรถได้ฝังอยู่ ซึ่งถ้าเคลือบทับไปบ่อยๆ ก็จะทำให้คราบสกปรกเหล่านั้นฝังตัวแน่นขึ้น ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ถ้าเกิดมีละอองสี หรือยางมะตอยฝังอยู่โดยที่เราไม่รู้ และไม่ได้ขจัดมันออกไปก่อน เมื่อเคลือบทับลงไป สิ่งเหล่านี้จะคอยกัดกินผิวสีรถของคุณทำให้ผิวสีรถเป็นรูเล็ก ๆ รถจึงดูหมองลงได้
ข้อแนะนำคือคุณควรจะนำรถไปขัดเคลือบสีตามศูนย์บริการต่างๆ บ้าง การขัด และเคลือบสี ก็คือการที่เรานำสิ่งสกปรกฝังแน่นที่อยู่บนหน้าแลคเกอร์ของสีรถออกไป ทำให้รถมันมีประกายด้วยตัวของแลคเกอร์รถที่แท้จริง เมื่อรถไม่มีคราบแล้ว เราก็ปกป้องความสวยของผิวสีรถนั้น ด้วยการเคลือบสี ทับลงไป ซึ่งจะทำให้รถมีความเงางาม ใส ไม่มีคราบสกปรกฝังอยู่แต่อย่างใด รถจะสวย ใสอยู่ตลอดเวลา ผิวสีรถจะลื่น น้ำและฝุ่นไม่เกาะ รถไม่หมอง แต่ไม่ต้องขัดสีบ่อยนะครับ ประมาณ 4-6 เดือนครั้งก็พอ จากนั้นก็เคลือบสีด้วยตัวเองที่บ้าน เคลือบสีนี่ขอแนะนำให้ทำบ่อย สักหน่อย อาจจะเดือนละครั้งก็ได้ครับ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความพอใจครับ
วันหยุดหรือเวลาว่างถ้าไม่รู้จะทำอะไร ออกจากบ้านก็เจอรถติด เสียสุขภาพจิตเปล่าๆ ลองเปลี่ยนมาหยิบถังน้ำ ผ้า แชมพูล้างรถ แล้วมาล้างรถกันดีกว่า หรือถ้าจะให้ดีก็เคลือบสีไปด้วยเลย ได้ออกกำลังเพื่อสุขภาพกาย แถมได้รถใหม่เอี่ยมจากฝีมือเราเอง ทั้งภูมิใจ ทั้งสบายใจ บริหารสุขภาพจิตไปในตัว ถือว่าเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดเลยทีเดียว แต่ถ้าไม่อยากเหนื่อยแรงหรือไม่มีเวลา ลองหาศูนย์บริการที่ถูกใจ ฝากฝังความงามของเจ้าเพื่อนยากให้เค้าดูแลแทนก็ได้ครับ ยอมจ่ายเงินเพิ่มอีกนิด แต่คุ้มครับ ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
ไปเจอมาครับเลยอยากเอามาแบ่งปันสำหรับบางท่านที่ยังไม่ทราบ หรือหลงลืม
เครดิต เว็ป Sanook
ข้อไม่ควรปฏิบัติในการล้างรถ
ถ้าพูดถึงการรักษาสภาพรถยนต์แล้ว สีนับว่าเป็นส่วนหนึ่งที่จำเป็นต้องให้ความสำคัญมากๆ โดยเฉพาะ เมื่อนี่อาจนำไปสู่การเกิดสนิมในรถที่จะกลายเป็นปัญหาเรื้อรังในอนาคต ที่หากเราเริ่นในวันนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องดีเลยทีเดียว
คนจำนวนมากมักหันเข้าหาร้านล้างรถหรือคาร์แคร์ ที่ปัจจุบันกำลังเป็นธุรกิจที่มาแรงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมือง ซึ่งความจริงแล้วการล้างรถให้เงางามและดูใหม่เสมอนั้นไม่ใช่เรื่องยากและสามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแต่ ต้องไม่ทำ เข้าใจก่อนปฏิบัติเท่านั้นเอง
1. ไม้ปัดขนไก้ อันนี้ของต้องห้าม โดยมากแล้วเรามักเผชิญกับปัญหาเรื่องฝุ่นอยู่เสมอไม่ว่าจะในเมืองหรือต่างจังหวัด และคนจำนวนไม่น้อยมักจะนำไม้ปัดขนไก้ที่มีขายอยูทั่วไปมาปัดเช็ดฝุ่นออก ด้วยความเข้าใจที่มีตั้งแต่ดั้งเดิมซึ่งไม้ปัดดังกล่าวใช้ในการทำความสะอาดบ้าน
ความจริงแล้วแล้วไม้ปัดขนไก่อาจจะเป็นทางออกที่ดีเพราะสามารถขจัดฝุ่นได้ดีและรวดเร็ว แต่ทราบหรือไม่ว่า ขนไก่เมื่อรวมกับฝุ่นที่บ้างอาจเป็นเม็ดทราบสามารถทำให้เกิดริ้วรอยไว้ที่ชั้นแล็คเกอร์ ซึ่งทำให้รถของท่านเป็นรอยขนแมวและยากที่จะขัดออก ..
2. ล้างรถจำไว้ น้ำเปล่าฉีดแล้วต้องลูบ คนส่วนใหญ่มักรู้ว่าการล้างรถน้นเราต้องลงน้ำเปล่าก่อนเพื่อขจัดคราบสกปรก ทว่าความจริงแล้วนอกจากการฉีดชะเอาคราบโคลนต่างๆหลุดไปแล้ว เราควรที่จะเปิดน้ำเบาๆแล้วลูบด้วยมือให้ทั่วคันเพื่อขัดฝุ่นออกจากสีก่อน ทำให้ลดการเกิดรอย ก่อนลงฟองน้ำและน้ำยาล้างรถจริง
3.ผงซักฟอก-น้ำยาล้างจาน...เลิกใช้มาล้างรถ!! หลายคนมักมีความขี้เกียจผสานความประหยัด เมื่อประกอบกับความเคยชินที่เรามักใช้สารทำความสะอาดอื่นๆอย่างผงซักฟอกหรือน้ำยาล้างจาน ทำให้เรามักคิดว่ามันสามารถเอามาล้างรถได้นั้น นับว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกันอย่างมาก และแม้เวลาผ่านไปเราก็ยังเห็นพฤติกรรมเช่นนี้เป็นประจำ ที่บางคนทำสืบทอดต่อกันมา
แม้การล้างรถคือการทำความสะอาดรถยนต์เหมือนๆกับจานหรือเสื้อผ้า แต่สิ่งที่แตกต่างนั้นคือเราต้องการล้างรถเพื่อให้เงางาม ไม่ใช่ให้สะอาด ซึ่งการที่เรานำน้ำยาล้างจานหรือฝงซักฟอกผสมน้ำมาล้างรถนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากสารทำความสะอาดทั้ง 2 ชนิดนั้นล้วนต้องการขจัดคราบอย่างเข้มข้น ซึ่งเมื่อเรานำมาล้างรถจะทำให้เกิดการชะล้างในส่วนของ WAX เคลือบชั้นแล็คเกอร์ออกไป ซึ่งทำให้สีรถจะดูหมองไม่เงาเงาม และในอนาคตยังอาจทำให้ชั้นแล็คเกอร์เสื่อมสภาพไวอีกด้วย
4.เสื้อผ้าเก่าๆ...อย่านำมาเช็ดแห้ง หลายคนมักนำเสื้อผ้ามาใช้ในการเช็ดแห้งรถยนต์ด้วยความเข้าใจว่า มันจะสามารถซับน้ำได้เหมือนกัน ทั้งที่จริงๆแล้ว ผ้าถึงจะทำหน้าที่ได้เหมือนกัน แต่ให้ความแตกต่างที่สามารถทิ้งรอยไว้หลังเช็ดเสร็จ วึ่งในความจริงอย่างแย่สุดคุณควรหาซื้อผ้าสำลี หรือมีงบก็ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ แต่กระนั้นเสื้อผ้าเก่าๆ โดยเฉพาะผ้า cotton ก็ยังเหมาะที่จะนำมาใช้เช็ดทำความความสะอาดกระจกอยู่ดี
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการดูแลรักษาสีรถขั้นพื้นฐานที่หลายคนมองข้าม บ้างก็ไม่ใส่ใจเพราะว่าใช้บริการร้านล้างรถ ทว่าแม้ร้านล้างรถจะมีบริการที่ดีแต่เราก็ควรที่จะล้างรถเองดุบ้างที่ทั้งปรัหยัด สนุก และยังเป้นการตรวจสอบรถไปด้วยในตัว
ทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมานั้น ถือว่าถูกต้องเลย มีหลายข้อที่สำคัญ โดยเฉพาะ เรื่องการล้างรถด้วยซันไลต์นี่เจอบ่อยมาก ที่เราอยากจะบอกว่ามันไม่กัดสีแต่กัดแว๊กซ์ คุณคงถามว่ามันกัดได้ยังไงก็ตอบง่ายคือน้ำมะนาวมีส่วนเป็นกรดแม้การใช้งานจริงเราจะนำมันมาผสมน้ำแต่คุณสมบัติแบบนี้ก็ยังมีอยู่ดี ..และเราไม่แนะนำอย่างแรง!!! ในการนำมาล้างรถ
เครดิตคุณโอ๋ ลาดกระบัง(Paseo) ปากน้ำ(วัดไตร):i40:
เคล็ดลับง่าย ๆ ของการล้างรถให้สะอาด ไม่เกิดรอย และไม่ทำลายสีรถ
1. เริ่มจากฉีดน้ำครับ ฉีดน้ำให้แรงที่สุด เพื่อให้คราบฝุ่น ขี้ดิน และสิ่งสกปรกต่างๆ หลุดออกจากตัวรถให้มากที่สุด
2. โดยปกติแล้ว การล้างรถด้วยน้ำเปล่าอย่างเดียวก็สะอาดเพียงพอแล้ว แต่อาจต้องใช้แรงในการขัดถูมากหน่อย ถ้าอยากให้ล้างง่ายขึ้น สะอาดใสปิ๊ง ก็ให้ใช้แชมพูล้างรถร่วมด้วยครับ
3. รถก็เหมือนบ้าน เวลาทำความสะอาดต้องเริ่มจากด้านบนก่อน แล้วค่อยๆ ล้างจากส่วนบน ลงล่างนะครับ
4. แนะนำให้ใช้ผ้านุ่ม ๆ เช่น ผ้าสำลี ในการล้างรถครับ ไม่ควรใช้ฟองน้ำล้างรถ เพราะเม็ดทรายหรือฝุ่น จะติดอยู่ในรูพรุนของฟองน้ำ เมื่อถูไปกับผิวสีรถ จะทำให้เกิดรอยขีดข่วน และถ้าทำได้ควรจะนำผ้าไปแช่น้ำไว้ก่อน ยิ่งถ้าใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มด้วยจะดีมากเลยครับ และในขณะที่ล้างรถก็ต้องหมั่นซักและขยี้ผ้าบ่อยๆ ด้วยครับ
5. โดยทั่วไปส่วนบนของรถจะมีฝุ่นน้อย ในขณะที่ด้านล่างจะสกปรกและมีฝุ่นมาก จึงขอแนะนำให้แยกใช้ผ้า 3 ผืน ผืนแรกใช้สำหรับล้างส่วนบน หลังคา ฝากระโปรงหน้า ฝากระโปรงหลัง และกระจกรถ ผืนที่สองใช้ล้างด้านล่างของตัวรถ ตั้งแต่ขอบกระจก ด้านล่างลงมา ผืนสุดท้าย ใช้สำหรับทำความสะอาดล้อ และส่วนอื่นที่สกปรกมาก ถ้ามีผ้าผืนเดียว ก็แนะนำให้ซักผ้าบ่อยๆ นะครับ เพื่อเอาเศษฝุ่น โคลน ออกจากผ้า รถจะได้สะอาดครับ
6. ฉีดน้ำไล่แชมพูออกให้หมด ใช้ผ้าแห้งนุ่มเช็ดรถให้แห้งทันที จะได้ไม่มีฝุ่นเกาะ และไม่เกิดคราบน้ำบนผิวสีรถ
หมายเหตุ: ถ้าล้างเองคนเดียวที่บ้าน แนะนำให้ทำการล้างล้อก่อนนะครับ เพราะถ้าเราล้างตัวรถก่อน แล้วมาล้างล้อทีหลัง จะทำให้คราบน้ำ คราบแชมพูแห้ง และทำให้เกิดปัญหาคราบน้ำได้ครับ
การใช้น้ำฉีดเป็นวิธีที่ดีสำหรับการล้างรถ แต่ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่จำเป็นต้องล้างรถ โดยใช้ถังใส่น้ำ จงท่องจำเอาไว้ในใจว่า ต้องหมั่นซักและขยี้ผ้า และต้องเปลี่ยนน้ำในถังบ่อย ๆ มิฉะนั้น สิ่งสกปรก และเม็ดทรายที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำ อาจทำให้เกิดริ้วรอยขีดข่วนบนรถได้ครับ
ล้างแทบแย่แต่ถ้าเช็ดไม่ดีก็จบกัน
...ล้างแทบแย่ แต่ถ้าเช็ดไม่ดีก็จบกัน...
1. ควรใช้ผ้านุ่ม ๆ ในการเช็ดรถ เนื่องจากผ้าเหล่านี้จะไม่ทำให้รถเป็นรอย การเช็ดรถที่ถูกต้องก็เหมือนกับการล้าง คือควรเช็ดจากด้านบนไล่ลงมาด้านล่างของรถ เพื่อให้น้ำหยดลงด้านล่างให้หมด จะได้ไม่ต้องทำงานสองต่อครับ
2. ส่วนของรถที่ต้องระวัง คือ ด้านในขอบประตูทั้งหมด ด้านในกระโปรงหลัง ด้านในฝาถังน้ำมัน กระจกหน้ารถ ควรเช็ดให้แห้งที่สุด อย่ามองข้ามเป็นอันขาดนะครับ
3. ล้อแม็กซ์ ก็ควรจะเช็ดให้แห้งด้วย เพราะถ้าไม่เช็ดจะเกิดเป็นคราบน้ำขึ้น ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ คราบน้ำเหล่านั้นจะเช็ดออกยากจนถึงเช็ดไม่ออกเลยนะครับ
สิ่งเล็กน้อยมี่ไม่ควรมองข้าม
สิ่งเล็กน้อยมี่ไม่ควรมองข้าม
1. ไม่ควรล้างรถเองในตอนเย็น เพราะหากล้างแล้วจอดทิ้งไว้ อาจทำให้เกิดสนิมในจุดที่เราเช็ดไม่แห้ง เว้นเสียแต่ว่า คุณจะมีเครื่องเป่าน้ำให้แห้ง หรือไม่ก็ต้องยอมเปลืองน้ำมันเอารถออกไปขับไกล ๆ ให้ลมช่วยทำให้ทุกซอยทุกมุมแห้งสนิท วิธีนี้คุณผู้ชายอาจใช้เป็นข้ออ้างในการออกจากบ้านตอนเย็นๆ ได้นะครับ ไม่ว่ากัน
2. ไม่ควรล้างรถกลางแดด เพราะนอกจากคนล้างอาจไม่สบายได้แล้ว แสงแดดจะทำให้น้ำแห้งเร็วจนเช็ดไม่ทัน ซึ่งอาจทำให้เกิดคราบน้ำบนผิวสีรถได้
3. ไม่ควรใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดรถแทนการล้างรถ เพราะจะเป็นการทำลายสภาพสี ผงฝุ่นต่างๆ ที่ติดบนผ้าจะทำให้เกิดรอยขนแมวยิ่งเช็ดรถมากครั้งขึ้นเท่าไหร่ การเกิดรอยก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
4. ไม่ควรใช้ไม้ขนไก่ หรือแปรงปัดฝุ่นทุกชนิด ปัดฝุ่น เพื่อทำความสะอาด เพราะมันเหมือนกับการใช้กระดาษทรายเช็ดรถเลยทีเดียว ในขณะที่ปัดฝุ่น ไม้ปัดฝุ่นจะลากถูฝุ่นหรือเม็ดทรายไปตามผิวสีรถ ทำให้เกิดริ้วรอยได้
เคลือบสีรถด้วยตนเอง
เคลือบสีรถด้วยตนเอง
รถยนต์ทุกคันมีอายุการใช้งานของสี แม้สีที่พ่นรถมาจะมีประสิทธิภาพสูง แต่สภาพอากาศบ้านเรา มีมลภาวะค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็น ฝุ่นละออง ควัน ไอเสีย สารเคมีในอากาศ ยางต้นไม้ ซึ่งอาจทำอันตรายต่อสีรถได้ หากใช้รถไปนานวัน แต่ไม่มีการดูแลรักษา สีรถจะดูหมอง เก่า ด้าน และสีแตกก่อนเวลาอันควร ดังนั้นการเคลือบสีจึงมีส่วนช่วยในการปกป้องสีรถ ไม่ให้หมอง เก่า ด้าน หรือสีแตกก่อนเวลาอันควร อีกทั้งยังช่วยป้องกันรอยขีดข่วน รอยขนแมว และความร้อนจากห้องเครื่องและแสงแดด ที่สามารถทำลายสีรถ ตลอดจน ปกป้องรถจากคราบสกปรกต่างๆ ที่เกิดจากมูลนก ยางไม้ น้ำค้าง ยางมะตอยได้
การเคลือบสีก็ไม่ยากครับ ก่อนอื่นก็เริ่มจากล้างรถให้สะอาดตามวิธีการข้างต้น แต่ไม่ต้องเช็ดแห้งนะครับ เช็ดรถแค่พอให้น้ำหมาด ๆ จากนั้นก็เทน้ำยาเคลือบสี ลงบนผ้านุ่มที่มีน้ำหมาด ๆ ขอเน้นว่าผ้านุ่มเท่านั้นนะครับ แล้วก็เริ่มเช็ดโดยวน เป็นก้นหอยให้ทั่วบริเวณตัวรถ ทิ้งน้ำยาไว้ตามระยะเวลาที่ระบุไว้ข้างกระป๋อง (ถ้าเป็นของคาร์แลค 68 จะทิ้งน้ำยาไว้ประมาณ 30 นาที) ช่วงนี้ก็พักไปทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ตามใจชอบ หรือถ้ามีเวลาเยอะหน่อยจะทิ้งไว้ทั้งวัน เคลือบเช้า เช็ดเย็นก็ยังได้ แบบว่ายิ่งนานยิ่งดี แต่ไม่ต้องถึงขนาดข้ามวันข้ามคืนนะครับ อันนี้เกินไปนิด พอครบกำหนดก็ใช้ผ้านุ่มเช็ดน้ำยาออกให้หมด แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จ ที่เหลือก็แค่... ใช้ตาครับ ชื่นชมกับผลงานของคุณเอง รับรองครับว่าหายเหนื่อยครับ
แม้ว่าการเคลือบสีจะเป็นการปกป้องสีรถ แต่หากเคลือบสีอย่างเดียวบ่อยๆ สีรถอาจจะดูหมอง ๆ ไปบ้าง เนื่องจากบนผิวสีรถ อาจมีคราบสกปรก หรือคราบมลภาวะ มลพิษที่อาจจะทำลายแลคเกอร์ของรถได้ฝังอยู่ ซึ่งถ้าเคลือบทับไปบ่อยๆ ก็จะทำให้คราบสกปรกเหล่านั้นฝังตัวแน่นขึ้น ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ถ้าเกิดมีละอองสี หรือยางมะตอยฝังอยู่โดยที่เราไม่รู้ และไม่ได้ขจัดมันออกไปก่อน เมื่อเคลือบทับลงไป สิ่งเหล่านี้จะคอยกัดกินผิวสีรถของคุณทำให้ผิวสีรถเป็นรูเล็ก ๆ รถจึงดูหมองลงได้
ข้อแนะนำคือคุณควรจะนำรถไปขัดเคลือบสีตามศูนย์บริการต่างๆ บ้าง การขัด และเคลือบสี ก็คือการที่เรานำสิ่งสกปรกฝังแน่นที่อยู่บนหน้าแลคเกอร์ของสีรถออกไป ทำให้รถมันมีประกายด้วยตัวของแลคเกอร์รถที่แท้จริง เมื่อรถไม่มีคราบแล้ว เราก็ปกป้องความสวยของผิวสีรถนั้น ด้วยการเคลือบสี ทับลงไป ซึ่งจะทำให้รถมีความเงางาม ใส ไม่มีคราบสกปรกฝังอยู่แต่อย่างใด รถจะสวย ใสอยู่ตลอดเวลา ผิวสีรถจะลื่น น้ำและฝุ่นไม่เกาะ รถไม่หมอง แต่ไม่ต้องขัดสีบ่อยนะครับ ประมาณ 4-6 เดือนครั้งก็พอ จากนั้นก็เคลือบสีด้วยตัวเองที่บ้าน เคลือบสีนี่ขอแนะนำให้ทำบ่อย สักหน่อย อาจจะเดือนละครั้งก็ได้ครับ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความพอใจครับ
วันหยุดหรือเวลาว่างถ้าไม่รู้จะทำอะไร ออกจากบ้านก็เจอรถติด เสียสุขภาพจิตเปล่าๆ ลองเปลี่ยนมาหยิบถังน้ำ ผ้า แชมพูล้างรถ แล้วมาล้างรถกันดีกว่า หรือถ้าจะให้ดีก็เคลือบสีไปด้วยเลย ได้ออกกำลังเพื่อสุขภาพกาย แถมได้รถใหม่เอี่ยมจากฝีมือเราเอง ทั้งภูมิใจ ทั้งสบายใจ บริหารสุขภาพจิตไปในตัว ถือว่าเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดเลยทีเดียว แต่ถ้าไม่อยากเหนื่อยแรงหรือไม่มีเวลา ลองหาศูนย์บริการที่ถูกใจ ฝากฝังความงามของเจ้าเพื่อนยากให้เค้าดูแลแทนก็ได้ครับ ยอมจ่ายเงินเพิ่มอีกนิด แต่คุ้มครับ ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
ไปเจอมาครับเลยอยากเอามาแบ่งปันสำหรับบางท่านที่ยังไม่ทราบ หรือหลงลืม
เครดิต เว็ป Sanook
ข้อไม่ควรปฏิบัติในการล้างรถ
ถ้าพูดถึงการรักษาสภาพรถยนต์แล้ว สีนับว่าเป็นส่วนหนึ่งที่จำเป็นต้องให้ความสำคัญมากๆ โดยเฉพาะ เมื่อนี่อาจนำไปสู่การเกิดสนิมในรถที่จะกลายเป็นปัญหาเรื้อรังในอนาคต ที่หากเราเริ่นในวันนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องดีเลยทีเดียว
คนจำนวนมากมักหันเข้าหาร้านล้างรถหรือคาร์แคร์ ที่ปัจจุบันกำลังเป็นธุรกิจที่มาแรงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมือง ซึ่งความจริงแล้วการล้างรถให้เงางามและดูใหม่เสมอนั้นไม่ใช่เรื่องยากและสามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแต่ ต้องไม่ทำ เข้าใจก่อนปฏิบัติเท่านั้นเอง
1. ไม้ปัดขนไก้ อันนี้ของต้องห้าม โดยมากแล้วเรามักเผชิญกับปัญหาเรื่องฝุ่นอยู่เสมอไม่ว่าจะในเมืองหรือต่างจังหวัด และคนจำนวนไม่น้อยมักจะนำไม้ปัดขนไก้ที่มีขายอยูทั่วไปมาปัดเช็ดฝุ่นออก ด้วยความเข้าใจที่มีตั้งแต่ดั้งเดิมซึ่งไม้ปัดดังกล่าวใช้ในการทำความสะอาดบ้าน
ความจริงแล้วแล้วไม้ปัดขนไก่อาจจะเป็นทางออกที่ดีเพราะสามารถขจัดฝุ่นได้ดีและรวดเร็ว แต่ทราบหรือไม่ว่า ขนไก่เมื่อรวมกับฝุ่นที่บ้างอาจเป็นเม็ดทราบสามารถทำให้เกิดริ้วรอยไว้ที่ชั้นแล็คเกอร์ ซึ่งทำให้รถของท่านเป็นรอยขนแมวและยากที่จะขัดออก ..
2. ล้างรถจำไว้ น้ำเปล่าฉีดแล้วต้องลูบ คนส่วนใหญ่มักรู้ว่าการล้างรถน้นเราต้องลงน้ำเปล่าก่อนเพื่อขจัดคราบสกปรก ทว่าความจริงแล้วนอกจากการฉีดชะเอาคราบโคลนต่างๆหลุดไปแล้ว เราควรที่จะเปิดน้ำเบาๆแล้วลูบด้วยมือให้ทั่วคันเพื่อขัดฝุ่นออกจากสีก่อน ทำให้ลดการเกิดรอย ก่อนลงฟองน้ำและน้ำยาล้างรถจริง
3.ผงซักฟอก-น้ำยาล้างจาน...เลิกใช้มาล้างรถ!! หลายคนมักมีความขี้เกียจผสานความประหยัด เมื่อประกอบกับความเคยชินที่เรามักใช้สารทำความสะอาดอื่นๆอย่างผงซักฟอกหรือน้ำยาล้างจาน ทำให้เรามักคิดว่ามันสามารถเอามาล้างรถได้นั้น นับว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกันอย่างมาก และแม้เวลาผ่านไปเราก็ยังเห็นพฤติกรรมเช่นนี้เป็นประจำ ที่บางคนทำสืบทอดต่อกันมา
แม้การล้างรถคือการทำความสะอาดรถยนต์เหมือนๆกับจานหรือเสื้อผ้า แต่สิ่งที่แตกต่างนั้นคือเราต้องการล้างรถเพื่อให้เงางาม ไม่ใช่ให้สะอาด ซึ่งการที่เรานำน้ำยาล้างจานหรือฝงซักฟอกผสมน้ำมาล้างรถนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากสารทำความสะอาดทั้ง 2 ชนิดนั้นล้วนต้องการขจัดคราบอย่างเข้มข้น ซึ่งเมื่อเรานำมาล้างรถจะทำให้เกิดการชะล้างในส่วนของ WAX เคลือบชั้นแล็คเกอร์ออกไป ซึ่งทำให้สีรถจะดูหมองไม่เงาเงาม และในอนาคตยังอาจทำให้ชั้นแล็คเกอร์เสื่อมสภาพไวอีกด้วย
4.เสื้อผ้าเก่าๆ...อย่านำมาเช็ดแห้ง หลายคนมักนำเสื้อผ้ามาใช้ในการเช็ดแห้งรถยนต์ด้วยความเข้าใจว่า มันจะสามารถซับน้ำได้เหมือนกัน ทั้งที่จริงๆแล้ว ผ้าถึงจะทำหน้าที่ได้เหมือนกัน แต่ให้ความแตกต่างที่สามารถทิ้งรอยไว้หลังเช็ดเสร็จ วึ่งในความจริงอย่างแย่สุดคุณควรหาซื้อผ้าสำลี หรือมีงบก็ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ แต่กระนั้นเสื้อผ้าเก่าๆ โดยเฉพาะผ้า cotton ก็ยังเหมาะที่จะนำมาใช้เช็ดทำความความสะอาดกระจกอยู่ดี
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการดูแลรักษาสีรถขั้นพื้นฐานที่หลายคนมองข้าม บ้างก็ไม่ใส่ใจเพราะว่าใช้บริการร้านล้างรถ ทว่าแม้ร้านล้างรถจะมีบริการที่ดีแต่เราก็ควรที่จะล้างรถเองดุบ้างที่ทั้งปรัหยัด สนุก และยังเป้นการตรวจสอบรถไปด้วยในตัว
ทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมานั้น ถือว่าถูกต้องเลย มีหลายข้อที่สำคัญ โดยเฉพาะ เรื่องการล้างรถด้วยซันไลต์นี่เจอบ่อยมาก ที่เราอยากจะบอกว่ามันไม่กัดสีแต่กัดแว๊กซ์ คุณคงถามว่ามันกัดได้ยังไงก็ตอบง่ายคือน้ำมะนาวมีส่วนเป็นกรดแม้การใช้งานจริงเราจะนำมันมาผสมน้ำแต่คุณสมบัติแบบนี้ก็ยังมีอยู่ดี ..และเราไม่แนะนำอย่างแรง!!! ในการนำมาล้างรถ
เครดิตคุณโอ๋ ลาดกระบัง(Paseo) ปากน้ำ(วัดไตร):i40: