newyear
18-03-2013, 13:04
นโยบาย รถยนต์คันแรก พ่นพิษ! สรรพสามิต ยอมรับมีผู้สละสิทธิขอคืนเงินภาษีแล้ว 2,000 คน ชี้สาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการถือครอง 5 ปีได้ หรือไม่สามารถส่งค่างวดที่ต้องผ่อนให้ไฟแนนซ์ทำให้ถูกยึดรถ เผยมีผู้นำเงินมาคืนแล้วบางส่วน และบางคนขอผ่อนจ่ายคืนเพราะใช้เงินหมดไปแล้ว ส่วนที่ทำนิ่งเตรียมส่งให้ บัญชีกลาง ตามทวงหนี้โดยใช้การแจ้งเตือน 2 ครั้ง หากผิดนัดเจอบวกดอกอีก 15% ต่อปี
รายงานข่าวจากกรมสรรพสามิตเปิดเผยว่า ขณะนี้มีตัวเลขแจ้งเข้ามาในระบบติดตามการดำเนินโครงการคืนเงินรถยนต์คันแรกว่ามีผู้ใช้สิทธิซื้อรถยนต์ในโครงการแจ้งขอสละสิทธิการเข้าโครงการแล้วทั้งสิ้น 2,000 คน โดยมาจากหลายสาเหตุ ทั้งผิดเงื่อนไขตั้งแต่แรก เช่น อายุไม่ถึง 21 ปี ไม่ใช่รถคันแรกจริง ซื้อก่อนเริ่มโครงการ เป็นต้น
ทั้งนี้ กรมสรรพสามิตจะตรวจสอบ และดึงเรื่องการจ่ายเงินคืนให้ไว้ก่อน และยังมีกรณีไม่ทำตามเงื่อนไขที่โครงการกำหนด เช่น ถือครองไม่ครบ 5 ปี เพราะบางคนซื้อมาปีหนึ่ง หรือไม่ถึงปี ก็จะขายรถต่อซึ่งกรณีนี้มีจำนวนมาก
นอกจากนี้ สาเหตุส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการถือครองรถยนต์ 5 ปีได้ หรือไม่สามารถส่งค่างวดที่ต้องผ่อนส่งรายเดือนกับบริษัทเช่าซื้อ หรือลีสซิ่งได้ทำให้ถูกยึดรถ รวมถึงกรณีเกิดอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ซึ่งกรณีนี้หากได้รับเงินคืนไปแล้วก็แล้วกันไปไม่ติดตามทวงคืนจากครอบครัวเจ้าของรถ
หลังจากนี้ คงต้องตรวจสอบด้วยว่าในจำนวนที่สละสิทธิมีผู้ถือครองรถยนต์ครบ 1 ปี และได้รับเงินคืนไม่เกิน 100,000 บาทไปแล้วหรือไม่ หากรับแล้วและไม่นำเงินมาคืนให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องต้องนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการติดตามทวงเงินคืนต่อไป แต่ก็มีผู้นำเงินมาคืนแล้วบางส่วน และบางคนขอผ่อนจ่ายคืนเพราะใช้เงินหมดไปแล้ว กรณีนี้กรมสรรพสามิตต้องทำเรื่องเสนอไปยังกรมบัญชีกลางให้พิจารณาในฐานะผู้ติดตามเงินภาษีคืนให้แผ่นดิน
สำหรับวิธีการติดตามทวงเงินคืนนั้น กรมสรรพสามิตจะทำหนังสือแจ้งไปยังเจ้าของรถให้นำเงินมาคืนภายใน 15 วันที่ได้รับหนังสือ หากยังเงียบเฉยจะออกหนังสือเตือนไปอีกครั้ง และให้เวลาอีก 15 วัน รวมเป็น 30 วันที่ต้องนำเงินมาจ่ายคืน ซึ่งการออกหนังสือเตือนหมายความว่า เจ้าของรถผิดนัดชำระหนี้แล้วต้องจ่ายดอกเบี้ยให้หลวงด้วยร้อยละ 15 ต่อปี โดยคำนวณเฉลี่ยเป็นวันจนถึงวันที่จ่ายเงินคืนครบตามจำนวน
แต่หากยังนิ่งเฉย กรมสรรพสามิตก็จะส่งเรื่องไปให้กรมบัญชีกลางดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ส่วนยอดการคืนเงินภาษีให้ผู้ถือครองรถยนต์ครบ 1 ปีตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงปัจจุบัน มีการคืนเงินไปแล้ว จำนวน 58,300 ราย จากจำนวนผู้เข้าโครงการทั้งสิ้น 1.25 ล้านราย และคืนเงินภาษีไปแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 4,231 ล้านบาท จากวงเงินงบประมาณที่ตั้งไว้ปีนี้กว่า 7,000 ล้านบาท
ด้านนายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าวว่า กรมฯ มีหน้าที่จ่ายเงินคืนภาษีเข้าบัญชีให้ผู้มีสิทธิเป็นรายเดือนเท่านั้น ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยติดตามเรียกเงินคืนจากผู้ที่ได้เงินไปแล้วแต่ทำผิดเงื่อนไขการถือครองรถยนต์ 5 ปี โดยหน้าที่ในการติดตามหนี้นั้น กรมสรรพสามิตจะเป็นผู้ดำเนินการ หากเจ้าของรถนิ่งเฉยก็จะส่งเรื่องมาให้กรมบัญชีกลางดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป
เมื่อกรมสรรพสามิตยื่นโนติสให้นำเงินมาคืนแล้วไม่มาตามกำหนด ก็จะส่งเรื่องมาที่กรมบัญชีกลาง กรมฯ ก็จะส่งเรื่องให้อัยการดำเนินการฟ้องร้องต่อไป ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการถึงขั้นส่งฟ้องร้องแต่อย่างใด นายมนัสกล่าว
ส่วนการคืนเงินภาษีในปีงบประมาณ 2556 ที่ตั้งงบประมาณไว้ 7,000 ล้านบาท และอาจไม่เพียงพอนั้น อาจจะไม่ใช้เงินจากงบกลาง แต่กำลังพิจารณาหาเงินจากส่วนอื่นเพื่อมาคืนให้ผู้มีสิทธิในโครงการ หลังจากนั้นจะตั้งงบปี 2557 มาชดเชยต่อไป
ที่มา http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000032799
รายงานข่าวจากกรมสรรพสามิตเปิดเผยว่า ขณะนี้มีตัวเลขแจ้งเข้ามาในระบบติดตามการดำเนินโครงการคืนเงินรถยนต์คันแรกว่ามีผู้ใช้สิทธิซื้อรถยนต์ในโครงการแจ้งขอสละสิทธิการเข้าโครงการแล้วทั้งสิ้น 2,000 คน โดยมาจากหลายสาเหตุ ทั้งผิดเงื่อนไขตั้งแต่แรก เช่น อายุไม่ถึง 21 ปี ไม่ใช่รถคันแรกจริง ซื้อก่อนเริ่มโครงการ เป็นต้น
ทั้งนี้ กรมสรรพสามิตจะตรวจสอบ และดึงเรื่องการจ่ายเงินคืนให้ไว้ก่อน และยังมีกรณีไม่ทำตามเงื่อนไขที่โครงการกำหนด เช่น ถือครองไม่ครบ 5 ปี เพราะบางคนซื้อมาปีหนึ่ง หรือไม่ถึงปี ก็จะขายรถต่อซึ่งกรณีนี้มีจำนวนมาก
นอกจากนี้ สาเหตุส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการถือครองรถยนต์ 5 ปีได้ หรือไม่สามารถส่งค่างวดที่ต้องผ่อนส่งรายเดือนกับบริษัทเช่าซื้อ หรือลีสซิ่งได้ทำให้ถูกยึดรถ รวมถึงกรณีเกิดอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ซึ่งกรณีนี้หากได้รับเงินคืนไปแล้วก็แล้วกันไปไม่ติดตามทวงคืนจากครอบครัวเจ้าของรถ
หลังจากนี้ คงต้องตรวจสอบด้วยว่าในจำนวนที่สละสิทธิมีผู้ถือครองรถยนต์ครบ 1 ปี และได้รับเงินคืนไม่เกิน 100,000 บาทไปแล้วหรือไม่ หากรับแล้วและไม่นำเงินมาคืนให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องต้องนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการติดตามทวงเงินคืนต่อไป แต่ก็มีผู้นำเงินมาคืนแล้วบางส่วน และบางคนขอผ่อนจ่ายคืนเพราะใช้เงินหมดไปแล้ว กรณีนี้กรมสรรพสามิตต้องทำเรื่องเสนอไปยังกรมบัญชีกลางให้พิจารณาในฐานะผู้ติดตามเงินภาษีคืนให้แผ่นดิน
สำหรับวิธีการติดตามทวงเงินคืนนั้น กรมสรรพสามิตจะทำหนังสือแจ้งไปยังเจ้าของรถให้นำเงินมาคืนภายใน 15 วันที่ได้รับหนังสือ หากยังเงียบเฉยจะออกหนังสือเตือนไปอีกครั้ง และให้เวลาอีก 15 วัน รวมเป็น 30 วันที่ต้องนำเงินมาจ่ายคืน ซึ่งการออกหนังสือเตือนหมายความว่า เจ้าของรถผิดนัดชำระหนี้แล้วต้องจ่ายดอกเบี้ยให้หลวงด้วยร้อยละ 15 ต่อปี โดยคำนวณเฉลี่ยเป็นวันจนถึงวันที่จ่ายเงินคืนครบตามจำนวน
แต่หากยังนิ่งเฉย กรมสรรพสามิตก็จะส่งเรื่องไปให้กรมบัญชีกลางดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ส่วนยอดการคืนเงินภาษีให้ผู้ถือครองรถยนต์ครบ 1 ปีตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงปัจจุบัน มีการคืนเงินไปแล้ว จำนวน 58,300 ราย จากจำนวนผู้เข้าโครงการทั้งสิ้น 1.25 ล้านราย และคืนเงินภาษีไปแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 4,231 ล้านบาท จากวงเงินงบประมาณที่ตั้งไว้ปีนี้กว่า 7,000 ล้านบาท
ด้านนายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าวว่า กรมฯ มีหน้าที่จ่ายเงินคืนภาษีเข้าบัญชีให้ผู้มีสิทธิเป็นรายเดือนเท่านั้น ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยติดตามเรียกเงินคืนจากผู้ที่ได้เงินไปแล้วแต่ทำผิดเงื่อนไขการถือครองรถยนต์ 5 ปี โดยหน้าที่ในการติดตามหนี้นั้น กรมสรรพสามิตจะเป็นผู้ดำเนินการ หากเจ้าของรถนิ่งเฉยก็จะส่งเรื่องมาให้กรมบัญชีกลางดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป
เมื่อกรมสรรพสามิตยื่นโนติสให้นำเงินมาคืนแล้วไม่มาตามกำหนด ก็จะส่งเรื่องมาที่กรมบัญชีกลาง กรมฯ ก็จะส่งเรื่องให้อัยการดำเนินการฟ้องร้องต่อไป ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการถึงขั้นส่งฟ้องร้องแต่อย่างใด นายมนัสกล่าว
ส่วนการคืนเงินภาษีในปีงบประมาณ 2556 ที่ตั้งงบประมาณไว้ 7,000 ล้านบาท และอาจไม่เพียงพอนั้น อาจจะไม่ใช้เงินจากงบกลาง แต่กำลังพิจารณาหาเงินจากส่วนอื่นเพื่อมาคืนให้ผู้มีสิทธิในโครงการ หลังจากนั้นจะตั้งงบปี 2557 มาชดเชยต่อไป
ที่มา http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000032799