แสดงเวอร์ชันเต็ม : ความรู้เรื่อง Battery ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนลูกใหม่
webmaster
13-08-2008, 17:33
เนื่องจากผมใช้รถไทรทันมาแล้ว 2 ปีกว่าๆ (ออกรถวันที่ 2 ธันวาคม 2548) มาถึงราวๆ 2 ปี 8 เดือน แบตเตอรี่ไม่เคยมีปัญหา แต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เปิดเพลงฟังในรถ (ดับเครื่อง) ปรากฎว่าแบตหมด ต้องเข็น.... ล่าสุดเมื่อวานนี้ (12/08/2551) เป็นอาการเดิมคือเปิดเพลงแล้วแบตหมด เลยต้องพ่วงแบต
ก็เลยกำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับแบตเตอรี่ เพื่อที่จะเปลี่ยนลูกใหม่ เพราะคิดว่าลูกเดิมที่ติดมากับรถ น่าจะคุ้มค่าแล้ว ซึ่งลองค้นหาข้อมูลตามอินเทอร์เน็ต ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้บอกว่าไว้ว่า แบตเตอรี่ลูกหนึ่ง จะมีอายุราวๆ 1.5 - 3 ปี
ลองอ่านข้อมูลด้านล่างดูนะครับ
webmaster
13-08-2008, 17:35
แบตเตอรี่รถยนต์ ไม่ใช่แค่ถ่านไฟฉาย
แบตเตอรี่รถยนต์ ไม่ใช่แหล่งผลิตไฟฟ้า แต่เป็นเพียงไฟฟ้าสำรอง เลือกไม่ยุ่ง ดูแลไม่ยาก และไม่แพง แต่มีรายละเอียดไม่น้อย
แบตเตอรี่รถยนต์ไม่เหมือนถ่านไฟฉาย ไม่เหมือนถ่านแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ (ที่มีแต่การใช้ไฟฟ้าออกไปอย่างเดียว เมื่อหมดแล้วก็ต้องเปลี่ยนทิ้ง) โดยเป็นเพียงไฟฟ้าสำรอง เมื่อเครื่องยนต์ติดและถูกใช้งาน ก็จะมีการประจุไฟฟ้าเพิ่ม และถูกใช้งานออกไปหมุนเวียนกัน เติมประจุไฟฟ้าเข้า-ออกจากแบตเตอรี่อยู่เสมอ มิได้ใช้ออกตลอดเวลาจนกว่าไฟจะหมด
ในกรณีที่แบตเตอรี่หมดต้องนับว่าเป็นความผิดปกติ ไม่ใช่หมดแบบถ่านไฟฉายทั่วไป มี 2 กรณี คือ หมดเพราะเก็บไฟไม่อยู่-แบตเตอรี่หมดอายุ (หลังใช้แบตเตอรี่ไป 1.5-3 ปี) หรือระบบไดชาร์จบกพร่อง
รถยนต์ที่ใช้งานแบตเตอรี่ยังไม่หมด สภาพและระบบไดชาร์จปกติ แบตเตอรี่ไม่มีการหมดโดยมีการประจุและใช้ไฟฟ้าหมุนเวียนกันตลอด แบตเตอรี่มีการใช้ไฟออกอย่างเดียวเฉพาะช่วง สตาร์ทเครื่องยนต์ ที่มีการจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ไดสตาร์ทและระบบต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ เมื่อเครื่องยนต์ทำงานแล้ว ไดชาร์จ (หรือยุคใหม่เป็นอัลเตอร์เนเตอร์ แต่ก็ยังเรียกรวมว่าไดชาร์จ) ก็จะทำหน้าที่ประจุไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง โดยมีคัตเอาต์ (ทั้งแบบแยกหรือแบบรวมกับตัวไดชาร์จ) ทำหน้าที่ควบคุมการตัดการประจุ เมื่อไฟฟ้าเต็มแบตเตอรี่และประจุต่อเมื่อไฟฟ้าในแบตเตอรี่ไม่เต็มหรือพร่องลง
ไดชาร์จ = อุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้า เมื่อถูกหมุนด้วยเครื่องยนต์/ผลิตไฟฟ้าเมื่อถูกหมุน
ไดสตาร์ท = อุปกรณ์ไปรับกระแสไฟฟ้าเข้าไปเพื่อสตาร์ทหมุนเครื่องยนต์แล้ว ก็หมดหน้าที่/รับกระแสไฟฟ้า เพื่อหมุนตัวเองและเครื่องยนต์
หากงงให้เปรียบเทียบดังนี้
บ้านที่มีการใช้น้ำ = รถยนต์-เครื่องยนต์ที่มีการใช้ไฟฟ้า
ปั๊มน้ำ = ไดชาร์จซึ่งทำหน้าที่ประจุไฟฟ้าโดยมีการแปรผันตามรอบเครื่องยนต์ด้วยรอบต่ำ หรือจอดเดินเบาก็ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ไม่เต็มที่จนกว่าจะถึงรอบปานกลางขึ้นไป
ถังน้ำสำรอง = แบตเตอรี่ เมื่อปั๊มยังไม่ทำงานหรือทำงานแต่ไม่เพียงพอ (ไดชาร์จหมุนช้า หรือใช้ไฟฟ้ามาก ๆ เช่นตอนกลางคืน เปิดแอร์ ไฟหน้า เครื่องเสียงชุดใหญ่และที่ปัดน้ำฝน) เริ่มต้นด้วยการจ่ายน้ำเข้าสู่บ้าน (เครื่องยนต์ถูกสตาร์ทด้วยไดสตาร์ท) จากถังน้ำสำรอง (แบตเตอรี่) โดยปั๊มน้ำ (ไดชาร์จ) ยังไม่ทำงาน เมื่อเข้าสู่ระบบปกติ (เครื่องยนต์ทำงานแล้ว)
ปั๊มน้ำ (ไดชาร์จ) ก็ทำงานคอยส่งน้ำเข้าบ้าน พร้อมกับเสริมกลับเข้าสู่ถังน้ำสำรองที่พร่องลง ซึ่งก็แล้วแต่ว่าในตอนนั้นมีการใช้น้ำมากหรือน้อยกว่ากำลังการปั๊มในตอนนั้น เช่น ถ้าปั๊มน้อย (ไดชาร์จหมุนรอบต่ำ-รถยนต์จอดนิ่ง) แต่มีการใช้น้ำมากกว่าการปั๊มก็ต้องดึงน้ำมาจากถังสำรองมาใช้ควบคู่กัน เมื่อปั๊มแรงขึ้น (ไดชาร์จหมุนเร็ว) มีน้ำที่เหลือจากใช้งานแล้ว ก็จะถูกส่งกลับเข้าไปยังถังสำรองที่พร่องลง จนกว่าจะเต็ม
ถ้าเป็นไปตามวงจรนี้ไปเรื่อย ๆ ก็คือ เมื่อปั๊มได้เกินความต้องการและส่งกลับเข้าถังน้ำสำรองเต็ม (แบตเตอรี่) ปั๊มน้ำก็จะตัดการทำงาน (ไดชาร์จตัด โดยยังหมุนอยู่แต่ตัด ระบบการประจุไฟฟ้า ด้วยคัตเอาต์แบบในหรือนอกตัว) จนเมื่อ ๆ ใดที่ปั๊มไม่ทันหรือมีการใช้น้ำมากกว่าการปั๊ม ก็จะดึงน้ำจากถังสำรองมาใช้
ดังนั้นการที่มีถังน้ำสำรองใหญ่ ๆ ไว้จึงไม่ใช่เรื่องเสียหายเพราะเท่ากับว่ามีกำลังไฟฟ้าสำรอง ไว้มากไม่ได้กินแรงปั๊ม (ไดชาร์จ) หรือทำให้ปั๊มทำงานหนักขึ้นแต่อย่างไร ปั๊มจะทำงานหนัก ก็ต่อเมื่อมีการใช้กระแสไฟฟ้ามากเกินกำลังของไดชาร์จอยู่เกือบหรือตลอดเวลา
webmaster
13-08-2008, 17:35
ไฟเตือนบนแผงหน้าปัด
ระบบการประจุไฟฟ้าของรถยนต์ทุกคันมีไฟสัญญาณเตือนบนแผงหน้าปัดแสดงเป็น ไฟรูปแบตเตอรี่โดยมิได้เป็นการเตือนว่าแบตเตอรี่หมดหรือเต็ม แต่เป็นการแสดงถึง ความปกติหรือผิดปกติของระบบไดชาร์จ
หากทุกอย่างปกติ เมื่อปิดกุญแจในจังหวะแรก ไฟเตือนต้องสว่างนิ่ง และเมื่อเครื่องยนต์ถูกสตาร์ท และทำงานแล้ว ไฟเตือนจะดับลงตลอดการขับ
ถ้าเครื่องยนต์ยังทำงานอยู่แล้วมีไฟเตือนสว่างขึ้น แสดงว่าระบบการประจุไฟฟ้าบกพร่อง โดยแบ่งเป็น 2 กรณี คือ ไดชาร์จ (หรือระบบการประจุไฟฟ้าเสีย) หรือสายพานไดชาร์จขาด โดยต้องรีบจอดรถยนต์ในที่ปลอดภัยเพื่อลงมาเปิดฝากระโปรงตรวจดูสายพานเป็นอย่างแรก ถ้าสายพานไม่ขาด แสดงว่าระบบไดชาร์จเสีย แต่ยังมีไฟฟ้าสำรองในแบตเตอรี่อยู่ สามารถขับต่อไปได้ในช่วงสั้น ๆ ประมาณกว่า 5 กิโลเมตร และนี่ก็คือการดึงไฟฟ้าจากแบตเตอรี่มาใช้อย่างเดียวไม่มีการประจุไฟฟ้ากลับเข้าไป จึงควรปิดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ไฟฟ้าลงทั้งหมด เช่น แอร์ เครื่องเสียง ฯลฯ เพื่อให้มีการ ดึงไฟฟ้าออกจากแบตเตอรี่ช้าและน้อย ทำให้รถยนต์ยังแล่นต่อไปได้ระยะทางมากที่สุด ถ้าการจราจรไม่ติดขัดมาก และแบตเตอรี่ลูกใหญ่พอสมควร ส่วนใหญ่ไปได้เกิน 10 กิโลเมตร เพื่อนำรถยนต์ไปซ่อมแซมระบบไดชาร์จ
ถ้าสายพานขาด เดาได้ว่าระบบการประจุไฟฟ้าไม่เสีย แต่เมื่อไดชาร์จไม่มีการหมุน เพราะสายพานขาดจึงไม่มีผลิตกระแสไฟฟ้า ต้องดูให้ละเอียดลงไปอีกว่า สายพานเส้นที่ขาดนั้น เกี่ยวข้องกับระบบสำคัญของเครื่องยนต์หรือไม่ ถ้าสายพานเส้นที่ขาด ขับคอมเพรเซอร์แอร์ หรือปั๊มของระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ด้วย ก็ยังทนขับแบบร้อน ๆ หรือพวงมาลัยหนัก ๆ ได้อีกหลายกิโลเมตร คล้ายกับกรณีสายไฟฟ้าบกพร่อง
หากสายพานเส้นที่ขาดต้องใช้ในการขับเคลื่อนปั๊มน้ำในระบบระบายความร้อนด้วย (ส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น) ก็จะสามารถขับต่อไปในระยะทางสั้นมากเพื่อหลบหลีกการจราจร หรืออันตรายได้เท่านั้นโดยต้องดูมาตรวัดความร้อนของเครื่องยนต์ ถ้าความร้อนขึ้นสูงมาก ต้องรีบจอดดับเครื่องยนต์
กรณีที่ไฟเตือนไม่ขึ้นหลังบิดกุญแจจังหวะแรกต้องตรวจสอบว่าระบบไดชาร์จบกพร่อง หรือหลอดไฟเตือนขาด หากใช้รถยนต์ปกติแล้วมีไฟเตือนสว่างริบหรี่แสดงว่า ระบบการประจุไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเมื่อมีการติดตั้งอุปกรณ์ ที่ใช้ไฟฟ้ามากขึ้น
ทำไมแบตเตอรี่หมด
ถ้าไดชาร์จปกติแบตเตอรี่ไม่เสื่อม แล้วไม่มีการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มเติมจนกินกระแส ไฟฟ้ามากเกินไปแบตเตอรี่จะไม่มีการหมด นอกจากในเครื่องยนต์รอบเดินเบา ไดชาร์จ ผลิตไฟฟ้าได้น้อยกว่าการใช้อยู่มาก และจอดนิ่งนานหลายชั่วโมง แบตเตอรี่อาจหมดได้ ซึ่งไม่ค่อยพบปัญหานี้ในการใช้งานบนสภาพจราจรปกติ เพราะในการใช้รถยนต์ เมื่อมีการใช้ไฟฟ้าจากสารพัดอุปกรณ์ เช่น เครื่องยนต์แอร์ เครื่องเสียง ไฟฟ้าส่องสว่าง ฯลฯ ก็จะมีไดชาร์จคอยส่งไฟฟ้าที่เหลือจากการใช้เพิ่มกลับเข้าไปสู่แบตเตอรี่อยู่ตลอด
หากแบตเตอรี่หมด เพราะไดชาร์จผิดปกติ คือผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอ แต่แบตเตอรี่ ยังไม่หมดสภาพก็มีการดึงไฟฟ้าออกจากแบตเตอรี่ไปใช้เรื่อย ๆ ก็แค่ซ่อมแซม ระบบไดชาร์จให้เป็นปกติ ใช้เครื่องประจุแบตเตอรี่ให้เต็ม หรือทำให้เครื่องยนต์ติด แล้วให้ไดชาร์จประจุไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่ (ช้าหน่อย) ก็สามารถใช้งานได้ตามปกติ (มักไม่ค่อยเกิดปัญหานี้) หลังจอดรถยนต์ไว้ ถ้าแบตเตอรี่หมดหรือกระแสไฟฟ้าอ่อนลงมากจนไดสตาร์ท หมุนเครื่งยนต์ไม่ไหว ขณะที่ระบบไดชาร์จและเครื่องยนต์ปกติ แสดงว่า แบตเตอรี่หมดสภาพ
ถ้าจำเป็นและพอมีกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่เหลือเพียงพอสำหรับเครื่องยนต์ เช่น ระบบหัวฉีด ปั๊มส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ฯลฯ และเป็นระบบเกียร์ธรรมดา ก็สามารถเข็นใส่เกียร์ 2 พอเข็นได้เร็วค่อยถอนคลัตช์พร้อมกดคันเร่ง เครื่องยนต์ก็จะกระตุกติดทำงานได้ หากไม่มีคนช่วยเข็นรวมถึงรถยนต์ระบบเกียร์อัตโนมัติต้องใช้รถยนต์อีกคันที่ติด เครื่องยนต์ไว้หรือยกแบตเตอรี่พ่วงเข้าด้วยกันอย่างระมัดระวังเมื่อเครื่องยนต์สตาร์ทติด ก็เลิกพ่วง แม้แบตเตอรี่เสื่อมหรือเก็บไฟฟ้าไม่อยู่ แต่ถ้าระบบไดชาร์จเป็นปกติ และเครื่องยนต์ทำงานแล้วก็จะสามารถขับต่อเนื่องไปได้ตลอด โดยควรเร่งรอบเครื่องยนต์ ตอนจอดไว้หน่อย เพื่อให้ไดชาร์จผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้น แต่ต้องระวังไม่ให้เครื่องยนต์ดับ เพราะเมื่อดับแล้วก็ต้องลุ้นกันอีกครั้งว่า ไฟฟ้าในแบตเตอรี่จะมีพอ สำหรับไดสตาร์ท หมุนเครื่องยนต์อีกครั้งหรือไม่
นอกจากการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในกรณีนี้ ด้วยการเข็นกระตุกเครื่องยนต์ หรือการพ่วงแบตเตอรี่แล้ว การแก้ไขถาวรที่ดี คือ เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่
เปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหญ่ แอมป์สูงดีไหม
เมื่อแบตเตอรี่หมดสภาพหรือมีการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นแล้วค่อยคิดถึงคำถามนี้ ถ้าแบตเตอรี่ไม่หมดสภาพในขณะที่ยังไม่ได้เพิ่มอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ การเปลี่ยนแบเตอรี่ ลูกใหญ่-แอมป์สูง ถือเป็นความสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ เพราะผู้ผลิตรถยนต์ได้คำนวณ และเลือกขนาดของแบตเตอรี่ต่ำพอเหมาะอยู่แล้ว
หากแบตเตอรี่หมดสภาพแล้วต้องเปลี่ยนใหม่ แล้วมีช่องพอสำหรับแบตเตอรี่ใหญ่ และแบตเตอรี่ลูกเดิมมีแอมป์ไม่สูงนักก็ควรเปลี่ยนลูกใหญ่-แอมป์สูงขึ้น (เสมือนมีถังน้ำสำรองใหญ่ขึ้น) เพราะ 4 เหตุผล คือ
1. ราคาแพงขึ้นไม่กี่ร้อยบาท
2. มีกำลังไฟฟ้าสำรองมากขึ้น
3. มีกำลังไฟฟ้าแรงขึ้น
4. ไม่ได้ทำให้ไดชาร์จทำงานหนักขึ้นหรือพังเร็ว
สรุปคือ มีแต่บวกไม่มีลบเลย นอกจากเสียเงินเพิ่มไม่กี่ร้อยบาท
เครื่องยนต์ยุคใหม่ที่ใช้ระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง และอุปกรณ์อื่นได้กระแสไฟฟ้าที่มีแอมป์สูงย่อมทำงานได้ดีขึ้น
หากต้องจอดนิ่งเครื่องยนต์เดินเบาบนการจราจรติดขัดนาน ๆ ไดชาร์จได้น้อย ก็มีพลังไฟฟ้าสำรองมากขึ้น รถยนต์ทุกรุ่นอย่าเลือกเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่มีแอมป์ต่ำลงจาก มาตรฐาน และถ้ามีโอกาสควรเลือกแบตเตอรี่ลูกใหม่ที่มีแอมป์สูงขึ้นประมาณ 10-30 แอมป์ โดยดูจากตัวเลขที่ระบุบนตัวแบตเตอรี่
การประจุไฟฟ้าสู่แบตเตอรี่ในครั้งแรกสุดหรือครั้งใด ๆ ไม่ใช่เป็นการประจุจากไดชาร์จ ควรใช้วิธีชาร์จช้า ประมาณ 5-10 ชั่วโมงขึ้นไป เพื่อให้แบตเตอรี่ไม่เสื่อมสภาพง่าย แต่ทางร้านมักใช้วิธีชาร์จเร็วเพื่อรีบบริการลูกค้า และจะทำให้แบตเตอรี่ลูกนั้น มีอายุไม่มาก ต้องเวียนมาเปลี่ยนใหม่เร็วขึ้นเล็กน้อย
อายุการใช้งานแบตเตอรี่ 1.5-3 ปี แบตเตอรี่ทั่วไปมีอายุการใช้งานประมาณ 1.5-3 ปี เท่านั้น โดยดูได้จากตัวเลขที่ตอกลง บนตัวแบตเตอรี่ ซึ่งส่วนใหญ่ร้านค้าจะมีการตอกเอง โดยปกติ เมื่อเกิน 1.5-2 ปี ก็ถือว่า คุ้มค่าแล้วสำหรับแบตเตอรี่ทั่วไปที่ผลิตในประเทศและจำหน่ายในราคาลูกละ 1,000 กว่าบาท
เมื่อเกินอายุ 2-2.5 ปี ถ้ากังวลให้ถือโอกาสเปลี่ยนก่อนก็ไม่สิ้นเปลืองมากนัก แบตเตอรี่-แอมป์สูง มักมีขนาดใหญ่ขึ้น จึงควรคำนึงถึงขนาดของฐานที่จะวางลงไป เมื่อแบตเตอรี่ลูกใหญ่-แอมป์สูงขึ้น ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากถึงกับดัดแปลงฐานที่จะวาง หากไม่ต้องการแบตเตอรี่ลูกใหญ่-แอมป์สูงมากจริง ๆ เลือกขนาดเท่าที่พอจะวางได้ก็พอ
ชนิดของแบตเตอรี่
มี 2 ชนิดหลัก คือ แบตเตอรี่แบบเปียก และแบบแห้ง
แบบเปียก (ใช้กันส่วนใหญ่) แบ่งเป็น 2 แบบย่อย คือ ต้องเติมและดูแลน้ำกลั่นบ่อย (อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง) และแบบดูแลไม่บ่อย (MAINTAINANCE FREE) กินน้ำกลั่นน้อยมาก โดยทั้ง 2 แบบจะมีฝาปิดเปิดสำหรับเติมน้ำกลั่น มีอายุการใช้งาน ประมาณ 1.5-3 ปี
แบบแห้ง ทนทาน ราคาแพง ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น มีอายุการใช้งานมากกว่าแบบเปียก ประมาณ 3-6 เท่าหรือประมาณ 5-10 ปี
ขี้เกลือขั้วแบตเตอรี่
อาจมีการขึ้นขี้เกลือ ซึ่งช้ามาก และทำให้การส่งกระแสไฟฟ้าด้อยลง การทำความสะอาดที่ดี ต้องถอดขั้วออกและทำความสะอาดทั้งขั้วบนแบตเตอรี่และขั้วบนสายไฟฟ้า พร้อมเคลือบด้วยจาระบีหรือน้ำมันเครื่อง ถ้าไม่มีความรู้เชิงกลไก ใช้น้ำอุ่นราดผ่านก็เพียงพอในระดับหนึ่ง
ตรวจน้ำกลั่นทุกสัปดาห์
ควรตรวจระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ทุกสัปดาห์ ควรเติมให้ได้ระดับ โดยถ้าแบตเตอรี่ มีผิวด้านข้างใส ก็ส่องดูได้ แต่ถ้าผิวทึบหรือเล็งด้านข้างไม่สะดวก เติมน้ำกลั่นให้ท่วม แถบแผ่นธาตุไว้ประมาณ 1 เซนติเมตร อย่าใช้น้ำกรองหรือใช้น้ำที่ไม่ใช่น้ำกลั่นเติม แบตเตอรี่เพราะจะทำให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานสั้นลง
แบตเตอรี่รถยนต์ ไม่แพง เสียยาก ดูแลง่าย แต่อย่ามองข้าม เพราะเป็นพลังไฟฟ้าสำรอง ในรถยนต์ทุกคัน
วรพล สิงห์เขียวพงศ์
http://www.elib-online.com/cars/battery_battery1.html
---------------------------------------
เว็บไซต์ตรวจสอบราคาแบตเตอรี่: http://www.carbatt.com
webmaster
13-08-2008, 17:41
แล้วผมจะใช้แบบไหนดี ระหว่าง
1. แบตเตอรี่รถยนต์ชนิด MF ( Maintenance Free )
แบต(MF)ชนิดไม่กินน้ำกลั่นแต่ก็ต้องเติมน้ำกลั่นถ้าน้ำกลั่นในตัวแบตเตอรี่พร่องไป
--------------------
2. แบตเตอรี่รถยนต์ชนิด SMF ( Sealed Maintenance Free )
ชนิดไม่กินน้ำกลั่นและไม่ต้องเติมนำกลั่นเพราะไม่มีรูให้เติมน้ำกลั่น Sealed 100%
--------------------
จะเลือกใช้ยี่ฮ้ออะไรดี ขนาดกี่แอมป์ และราคาประมาณเท่าไหร่
ขอบคุณคับ สำหรับความรู้ดีๆ จะได้จำไปปฏิบัติ
อ้าว แล้วตกลงอย่างไหนดี ของเราครบสองปีพอดี จะได้เตรียมไว้
ความรู้ทั้งนั้น...ขอบคุณครับ
myjoefiend
15-08-2008, 09:49
ผมเคยลองใช้ทั้งแบบแห้งและแบบน้ำ สังเกตุว่าแบบน้ำอายุการใช้งานมากกว่าครับ แต่ปัญหาคือต้องหมั่นตรวจเช็คน้ำกลั่นและต้องเติมไฟอย่างน้อย5นาทีทุก1-2สัปดาห์ ในกรณีที่ไม่ได้ใช้รถ เคยใช้ได้ตั้ง5ปี แต่ยังไม่เสียเลย แต่อยากลองเปลี่ยนเป็นแบบแห้ง แบบแห้งใช้ได้ปีกว่าหมดประกันปุ๊บ มีปัญหาปั๊บ งง ใช้ได้ครบ 2 ปีเลยต้องเปลี่ยนลูกใหม่ เซ็งเพราะราคาก็แพงกว่า ใช้ของพานาโซนิค ปล.ที่ใช้5ปีแบบน้ำผมใช้เองกับตัว แต่แบบแห้งปีกว่าผมใช้เองไม่มีปัญหา แต่ยกรถให้น้องไปขับไม่ถึงครึ่งมีแบตมีปัญหาทั้งที่ใช้รถตลอดผมเลย งง ปกติผมไม่ได้สตาสรถเปิดเพลงประมาณ1-2ชั่วโมงต่อวันช่วงเช็ดรถ แล้วค่อยสตาสวอมเครื่องประมาณ5-10นาที รถที่ใช้เป็นมาสด้า 323 5ประตู รุ่นแรก ปี1978ตอนนี้ก็30ปีกว่าแล้ว ยั่งขับอยู่ กรุงเทพและไป-กลับ จ.สุรินทร์ แต่ผมคิดว่าน่าจะอยู่ที่ตัวบุคคลในการใช้รถมากว่าครับ 55555 จบข่าว นี่เป็นประสบการณ์กับตัวเองครับ ขอบคุณครับ
myjoefiend
15-08-2008, 10:03
ปล.รถไตรตั้น สามารถใช้แบตขนาด 120 แอม ได้ทุกรุ่นครับ เพราะไดชาต ทำมาใช้ได้ขนาด120แอมร์พอดี แต่ตัวแบตที่ติดมากับรถผม 100 แอม ทางศูนย์เค้าแนะนำมาตั้งแต่ตอนออกรถมาเลยว่าถ้าเปลี่ยนแบต ควรเปลี่ยนเป็นแบบ 120 เพราะจะเก็บไฟได้มากกว่า แล้วไดชาตจะได้ไม่ต้องทำงานบอย อิอิ ที่เหลือเรื่องแบบน้ำและแบบแห้ง ก็ต้องตัดสินใจเองครับ เพราะ ผมคิดว่า อะไรที่มันใช้ได้นานเกินไปมันไม่ค่อยเวิค เหมือนการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เปลี่น10000โลได้แต่ทางศูนย์เค้าเคยเนะนำว่าไม่ค่อยเวิคเพราะเค้าสอบถามในเรื่องการใช้งาน ผมคิดจะใช้คันนี้ตลอดไม่คิดเปลี่ยน เลยขยันเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุก 5000-7000 โล เคยเปลี่ยน 10000โลที นำมันดำและข้นมากเลย เลยสงสารรถครับ แล้วแต่ชอบและสดวกนะครับ ที่แน่ๆ ขอขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ
ขอบคุณครับสำหรับข้อมูลดีๆ ได้ความรู้ไปเต็มกระเป๋าเลย
Chatuchak
15-08-2008, 10:50
ขอบคุณในความรู้ที่ให้ครับ
ทำยังไงที่ร้านขายแบตถึงจะยอมชาร์ตช้าให้ (เป็นคำรำพึง ไม่ใช่คำถาม เพราะคงตอบง่ายแต่ทำยาก) ครับผม
ryujinmaru
04-09-2008, 03:43
ขอบคุณครับ..ได้ความรู้มากเลย:i40:
ของผมออกรถหลัง web master ไม่กี่วันเองครับ 25 วันเองอ่ะ คงใกล้จะต้องเปลี่ยนบ้างแล้วล่ะ
god-army
05-09-2008, 09:28
ขอบคุณครับ สำหรับข้อมูลดีๆ
ได้ความรู้มาๆๆ เลยขอบคุณครับ
bank 9515
24-09-2008, 19:20
เเนะนำเพิ่มเติมครับ
ถ้าลืม เปิดเพลงหรือเปิดไฟหน้าทิ้งไว้(ดีที่ไทรทันมีตัวตัดไฟหน้า)
เเล้วเเบตไฟหมด อย่าเพิ่งเปลี่ยนเเบตใหม่ หรืออย่าปักใจเชื่อช่างบางคนนะครับ
เพราะอาการเเบบนี้ จะทำให้ค่าน้ำกรดในเเบตเตอรี่เสื่อม เราสามารถเปลี่ยนถ่ายน้ำกรดใหม่ได้เเล้วนำไปชาร์จไฟครับ ลองดูนะครับ
ปล.สถานการณ์เเบบที่ผมได้กล่าวมานี้อาจจะใช้ได้กับเเบตที่ยังใหม่อยู่ หรือไม่เกินปีครับ
ส่วนเเบตที่มีอายุมากกว่าปีครึง ถึง2ปีขึ้นไป(ถึงเเม้ตอนเเรกจะใช้งานได้ดีไม่มีปัญหาอะไร เเต่พอลืมเปิดเพลงทึ้งไว้ก็อาจจะทำให้เเบตเสียเลยก็ได้ครับ)ขอบคุณที่ให้ผมได้มีโอกาศเเนะนำพี่ๆนะครับ
joetriton
25-09-2008, 15:51
ละเอียดมากครับ...เป็นความรู้ที่ดีมากครับ
chinjung
27-09-2008, 09:33
ขอบคุณมากคับ:kapook-17194-2887:
bank_evolution
02-10-2008, 13:09
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ..ได้ความรู้มากเลย :yenta4-emoticon-002
ขอบคุณเรื่องแบต
รถผมออกมาได้ประมาณ 3 เดือน แบตเสื่อมแล้วครับเคยลองเปลี่ยนน้ำกรดแล้วตากให้แห้งและชารจ์ไฟไปใหม่ประมาณ 8 ชั่วโมงก็ยังเข็นเหมือนเดิมทำทุกวิถีทางก็เหมือนเดิม พูดถึงเรื่องแบตเลยนึกเคืองศูนย์บริการไม่หายปล่อยให้รถป้ายแดงต้องเข็นขาย..มากๆเลย:kapook-17202-3451:
yongyuthrommanee
26-11-2008, 10:18
เยี่ยมครับ ได้ความรู้อีกแล้ว ขอบคุณหลายๆเด้อ
สิงห์เงิน
09-12-2008, 16:03
ดีเลยคับจะเตรียมเงินรอ เพราะใช้มาแล้ว 2 ปีกว่าๆ วิ่งไป 51000 เท่านี้เอง จะใช้แบบน้ำนะดีแต่ตอนใส่น้ำกลั่นม้นเลอะเละเทะแฮะ
Satanemi
13-12-2008, 16:48
รบกวนสอบถามท่านรองหน่อยอ่ะคับ เพื่อนๆที่ผมรู้จักเค้าเล่นเครื่องเสียงกันน่ะคับใช้แบทเตอรี่ยี่ห้อpuma แล้วเท่าที่ใช้มาก็ไม่มีปัญหาอะไรเลยน่ะคับ รบกวนตอบทีนะคับข้อดีข้อเสียน่ะคับ
mckyparty
22-01-2009, 19:57
volt meter ใครมี ก็ดีไป ป้องกัน ก่อนกินข้างลิงได้ 100%
Tivholsethx-40
13-02-2009, 05:17
เป็นความรู้ที่ดีมากเลยครับ ตอนแรกที่เปลี่ยนก็จาเอาแบตแห้งเหมือนกัน แต่ก็กลับไปเอาแบตน้ำเหมือนเดิม ถ้าใช้ดี ๆ ก็คงอยุ่กันอีกยาวเนอะ ! แล้วของผมชอบ Start รถเปิดแอร์จอดไว้นาน ๆ บางทีทั้งคืน ทั้งคืน จิง ๆ ตั่งแต่ 4 ทุ่มจนถึง ตี 5 เป็นประจำ เพราะไปหาแฟนที่ มหาลัยบ่อย ก็นั่งกันอยู่ในนั้น ยังงี้แบตจาเสื่อมเร็วไหมครับ เพราะอ่านดู เค้าบอกว่า ถ้าจอดรอบเดินเบาไว้นาน ๆ จะผลิตไฟน้อย ไดชาร์ตจะทำงานหนัก แล้วยังงี้มันจาเป็นไรป่าวครับ รบกวนพี่ ๆ ชี้แจงให้หายคาใจทีนะครับ ขอบคุรครับ
ของผมซื้อรถมาเดือนกันยา 2005 ใช้มาก็3ปี5เดือน จะเสียเมื่อไรหนอต้องเตรียมตังไว้แล้วเรา
เพ่งใช้ได้2ปีหน่อยๆ
เปลี่ยนได้หรือยังคะ
walkingspeed
09-06-2009, 06:18
เพิ่งเปลี่ยนมาเมื่อวันเสาร์นี้เลยครับ
สามปีพอดี
myjoefiend
09-06-2009, 09:31
ผม 2 ปี 6 เดือน แล้วครับ ยังไม่มีปัญหา อย่าลืมหมั่นตรวจน้ำกลั่นอย่าให้ขาด และ ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดก่อนดับรถก็จะดีมากเลยครับ เพื่องถนอมแบต และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เช่นแอร์ พัดลมแอร์ เครื่องเสียงรถยนต์
Nuk_Black-Triton
09-06-2009, 09:56
ติดเครื่อง เปิดแอร์ นานๆ
ไฟเข้าหม้อน้อย ไดชาร์จ ทำงานหนักครับ
คุณปลัด สังเกตุตอนรถติดกลางคืนดิ (ในเมือง)
บางครั้ง โวลต์มิเตอร์ผม แสดงค่าที่ 12.2 เองครับ
mahtragul
09-06-2009, 10:09
อายุแบตฯก็ตามนั้นละครับ
ผมเคยใช้สตาด้า 2800 ออกจากกรุงเทพฯ03.00 ถึง นครสวรรค์
06.00 เปิดไฟใหญ่และไฟตัดหมอก ไปติดไฟแดงที่นครสวรรค์
ออกรถดับ สตาร์ทใหม่ไฟหมดเพราะเปิดไฟวิ่งมาแค่ 3 ชม.
และอย่าลืมถ้าใช้เกียร์ออโต ควรพกสายพ่วงไว้ด้วย
ขนาดสายสำหรับดีเซลนะ เพราะใช้ไฟมากว่าเบนซินที่ ซีๆเท่ากัน
มิชะนั้นต้องเข็นให้ได้ความเร็ว 40กม/ชม
but vulcan
09-06-2009, 11:06
สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ใช้รถ ควรเป็นแบบน้ำครับ เพราะเก็บไฟได้นานกว่า
ส่วนแบบแห้งถ้าเคยทิ้งไฟหมดครั้งหนึ่ง ถ้าชาร์จครังต่อไปจะเก็บไฟไม่ค่อยอยู่แล้วครับ เหมือนมันเสื่อม
เป็นประสบการณ์ที่เคยใช้รถมอร์ไซค์ใหญ่นะครับ จอดทิ้งเหมือนกัน :i42:
walkingspeed
09-06-2009, 11:21
รบกวนถามเป็นความรู้สักนิดนะครับ
"โวลท์" กับ "แอมป์" นี่มันต่างกันยังไงเหรอครับ
ผมใช้สมารท์เกจ วัดดู
ตอนวิ่งมันจะได้ประมาณ 14 โวลท์
เช้าๆ มันจะอยู่ประมาณ 12 โวลท์
แต่ขณะสตารท์ บางครั้งมันต่ำลงมาเหลือ 10.8 โวลท์ ประมาณนี้น่ะครับ
รถผมมันมีอะไรผิดปกติหรือเปล่าครับ :i42:
walkingspeed
09-06-2009, 11:24
แล้วอาการที่ไดชารท์ มันจะกลับบ้านเก่า นี่เป็นยังไงเหรอครับ
smilenet
20-06-2009, 10:49
ขอบคุณหลายๆ ครับผม สำหรับทิปนี้
Alongkorn
19-08-2010, 15:47
จากลิ้งค์ แบตมีอายุการใช้งานนานมั้ย
http://www.thaitritonclub.com/forum/showthread.php?p=347268
รบกวนผู้รู้ครับ ผมใช้ไทรทัน2500cc.ใช้มา3ปีควรเปลี่ยนแบตได้รึยังครั บ ระยะหลังเคยดับเครื่องและเปิดเพลงกับพัดลมทิ้งไว้ประ มาณชั่วโมงเดียวรถสตาร์ทไม่ติด เป็นที่แบตเสื่อมรึเปล่าครับ
จริงๆแล้วแบตมีอายุการใช้งานนานมั้ยครับ
ถ้าต้องเปลี่ยนใหม่ช่วยแนะนำด้วยครับ ยี่ห้อไรดีควรใช้แบบไหน ราคาประมาณเท่าไหร่
รบกวนเพื่อนๆพี่ๆที่รู้จริงช่วยตอบด้วยครับ :doraemon_questioncu:doraemon_questioncu
แบตเตอรี่ของเจ้าเหมียวเป็นแบบ 90 แอมป์ เปลี่ยนเป็นขนาด 100 แอมป์น่าจะดีนะ
รถผมใช้งานมา 4 ปี 4 เดือนแล้ว ยังดีอยู่ ไม่มีขี้เกลือขึ้น
แต่เป็นช่วงที่ไว้ใจไม่ได้ เพราะถ้ามันเกิดเสื่อมขึ้นมา
มันไม่ค่อยอยากเตือนจะด้วยสิ
NATSKI13
20-08-2010, 10:37
ผมใช้สามปีกว่าแล้ว อย่างนี้รอปลายปีค่อยเปลี่ยนละกัน ใช้ให้คุ้มอีกหน่อย
จริงๆแล้วถ้าดูแลน้ำกลั่นอย่างดี ใช้ได้นานนะแบตฯเนี่ย
จำได้ รถคันแรก แลนเซอร์ท้ายเบ๊นซ์ เอามาใช้ไม่เคยเติมน้ำกลั่นเลย
ปีเดียว ไปเลยครับ เข็นไปถึงทางลงจากอาคารจอดรถแล้วดึงเบรคมือ
ขึ้นไปนั่ง ปลดเบรคมือ ปล่อยรถไหล ปล่อยคลัชท์กระตุกสตาร์์ท
ยามมองแบบ งงๆ ว่ารถใหม่ๆ ทำไมต้องทำแบบนี้ฟระ 555+
shellvie
15-10-2010, 11:28
ขุดๆๆคับ
ขอบคุณมากคับกับความรู้เรื่องBattery :yenta4-emoticon-002
ล่าก่อนเจ้าBattery:i37:
Liverpooh
15-10-2010, 12:06
ผมเปลี่ยนตอน 4ปี11เดือน ยอมรับดวงดีมากๆที่แบตติดรถมาใช้ได้นานขนาดนั้นและผมไม่เคยเติมน้ำกลั่นเลย ตอนนี้เปลี่ยนใหม่ได้2เดือน เติมน้ำกลั่นไป2รอบละรอบละกระปุก
ติดโวล์ทมิเตอร์มาแล้ว แต่ไม่แน่ใจในวิธีการใช้งานเท่าไหร่
ขอแน่นๆอีกทีครับ
1. อ่านค่าก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ ( ตัวเลขเท่าไหร่)
2. อ่านค่าหลังติดเครื่องยนต์( รอบเดินเบา ตัวเลขเท่าไหร่)
3. อ่านค่าขณะขับขี่รถยนต์ ( ตัวเลขเท่าไหร่ )
เคยได้ยินมาว่า หากไดชาร์จ ชาร์จไฟมากเกินไป อาจมีปัญหาใหญ่กว่า ชาร์จไฟน้อยเกินไป ด้วยครับ
:yenta4-emoticon-002:yenta4-emoticon-002:yenta4-emoticon-002
ขออนุญาตินำไปเผยแพร่ นะครับ
รถผมอีก 2 เดือนครบ 4 ปี ยังไม่เปลี่ยนเลยครับ แต่เช็คน้ำกลั่นตลอดเลย
แต่ว่า....อาทิตย์หน้า เดินทางไกลจากเชียงใหม่ไปโคราช จะรอดไหมครับ รบกวนน้า ๆ ช่วยแนะนำหน่อยนะครับ
ขอบคุณครับ :21-7:
:kapook-17351-2909::kapook-17351-2909:
น้าๆๆแบตรถผม ติดรถตอนนี้ 5ปีกับ6เดือนแล้วยังฟิต
ไม่ได้ทำไรมากแค่เติมน้ำกลั่นบ่อยๆๆคัฟ
turbo129
31-10-2013, 22:11
เวลาซื้อแบตที่ควรคำนึงหรือดูคือ
1.ขนาด..กับไดร์ชาร์ต Triton เราสามารถ ชาร์ตได้แค่ 95 แอมป์ ครับ(ไปส่องดูที่ไดร์ชาร์ตเลยครับมีเขียนอยู่)
ถ้าเปลี่ยนแบตที่มีขนาดโตกว่าไดร์ชาร์ตไดร์ชาร์ตจะทำงานตลอดประมาณว่าพยายามชาร์ตให้เต็ม
2.นอกจากขนาดจากแอมป์แล้วสิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือค่า CCA ในแบตเตอรี่ครับ ค่า CCA ทุกยี่ห้อมีบอกมาครับ CCA (Cool Cranking Ampere) จะเป็นตัวบอกว่าเราสามารถใช้แบตลูกนี้ได้นานขนาดไหนยิ่งมี CCA เยอะจะทำให้ใช้งานแบตเตอรี่ได้นานกว่าในขณะที่มีโหลดครับ...
3.เริ่มชาร์ตแบตใหม่...สำหรับแบตแห้งนั้นก็ไม่ต้องชาร์ตครับแต่แบตน้ำอันที่จริงแล้วคู่มือเค้ามีบอกอยู่แล้วว่าจะต้องชาร์ตในกระบะที่ใส่น้ำแล้วเอาแบตลงไปใส่เพื่อทำการชาร์เริ่มต้นแบตลูกใหม่และชาร์ไม่น้อยกว่า 6 ชม. หรือว่าจนกว่าจะวัดค่า CCA ให้ได้ตามขนาดที่คู่มือระบุครับ เพื่ออายุการใช้งานที่ยาวขึ้นครับ (ของผมโชคดีที่มีพี่ที่เค้าขายแบตที่สมุยทำให้อยู่ถูกวิธีครับและค่า CCA ของผมเกินเสปคด้วย)
4.เวลาเติมน้ำกรดลงไปไม่ได้หมายความว่าต้องเติมน้ำกรดอย่างเดียว...ต้องมีเครื่องวัดน้ำกรดด้วย...ถ้าเข้มไป....ไฟแรง...โวล์สูง....แต่ค่า CCA ต่ำครับ.. บางท่านอาจเกิดปัญหาว่าใช้ได้ไม่นานแบตพังอีกแล้ว มันเกิดจากซันเฟสไปเกาะตัวที่แผ่นเพลจในเซลแบตครับ....ตริงๆแล้วเอามากระตุ้นเซลใหม่ให้ซันเฟสหลุดแล้ววัดค่าน้ำกรดก็นำกลับมาใช้ได้ต่อครับ.. แต่ถ้าน้ำกรดอ่อนเกินไปทำให้โวล์ตกเกินไปครับ...
5.อย่าลืมทาขั่วแบตด้วยจารบีครับ..... เป็นการรักษาขั้วแบตครับผม...
6.แบตแห้ง หรือแบตกึ่งแห้งไม่ต้องเติมน้ำกลั่นเหมาะกับรถที่ไม่ค่อยได้วิ่งครับเพราะค่า CCA มันสูงไม่อยู่บ้านหลายๆวันกลับมาสตาร์ตรถใช้ได้ทันทีครับ แต่ถ้างานหนักๆแบตน้ำทนกว่าครับ... เพราะแบตแห้งจริงๆแล้วไม่เหาะที่จะมาอยู่ในห้องเครื่องคับ...
ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมจะเอามาฝากอีกครับ..
ไกล้แล้วสิเรา สามปี เก้าเดือนแระ อาการชักไม่ค่อยดี สตาร์ทตอนเช้าเหมือนไดสตาร์ทมันจะหมดแรง ขี้เกลือขึ้นขั้วอีกซะงั้น กำ
aekbodin_srabua
07-11-2013, 17:39
ผมเปลี่ยนไปตอน 100,000 โล ตอนนี้จะ 120,000 เอง มีอาการเหมือนไฟจะอ่อนแรง คงจะถอดออกมาชาร์ทดู ผมว่าตัวที่ติดกับรถมาอึดกว่ามาก gs เหมือนกัน
ขับเคลื่อนระบบโดย vBulletin™ Version 4.2.5 Copyright © 2024 vBulletin Solutions, Inc. All rights reserved.