อาจจะยาวไป.....ลองอ่านเพื่อเตือนสติตัวเองให้กลับมาฮึดสู้อีกครั้ง
จะเล่าอะไรให้ฟังนิดหนึ่งครับ พอดีนึกถึงตัวเองตอนมาหางานทำที่กทม. เมื่อสองปีที่แล้ว (ทั้งหมดนี่ คือเรื่องจริง 100% ทีเกิดขึ้นกับผม)
ประมาณสองปีก่อน ผมตกงานอยู่ที่ ตจว. ค้างค่าเช่าบ้านเขา (เดือนละ 1,200 บาทก็ยังหาไม่ได้) เลยมาหางานทำที่ กทม. เพราะงานที่ ตจว.หายากมาก ๆ มีเงินติดตัวมาทั้งหมด 2 พันบาทถ้วน (เอามือถือ เอา ram Hdd ไปขาย) โทรศัพท์เอาอันเก่าที่หน้าจอแตก มองอะไรไม่เห็น เอามาใช้ชั่วคราวก่อน เพื่อโทรหาลูก-เมียที่บ้าน หอบเสื้อผ้า กระเป๋า มากทม. คนเดียว ลูก-เมีย ทิ้งไว้ที่ ตจว. เป็นการเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่สุดในชีวิตเลย มาเพื่อวัดดวงกันเลยจริง ๆ นั่งรถไฟฟรีตั้งแต่ ตี 4 มาลง กทม. ประมาณ 8 โมงเช้า นั่งรถเมล์ฟรีต่อมายังย่านที่คิดว่า ค่าเช่าห้อง ค่าใช้จ่ายถูก ๆ ที่เล็งไว้ก็คือ ประชาอุทิศ พระประแดง สุขสวัสดิ์ ทุ่งครุ (หาข้อมูลไว้ก่อนแล้วว่าแถวนี้ ค่าเช่าถูก โรงงานเยอะน่าจะมีงานให้ทำเยอะเช่นกัน) ผมไปเดินหางานร้านคอมฯ ร้านของชำ โรงงาน ปั้มน้ำมัน ร้านอาหาร คาร์แคร์ ฯลฯ ร้านไหนติดป้ายหน้าร้านบอกรับคนงาน พนักงาน ก็เข้าไปสมัครกับเขาเลยไม่อายอะไรทั้งสิ้น ตอนนั้นงานอะไรก็ทำหมด ของานเขาทำ ค่าแรงไม่เกี่ยงเดินหางานอยู่ เกือบ 1 วัน ไม่ใช่ง่าย ๆ เพราะส่วนใหญ่จะจ้างผู้หญิง หรือไม่ก็คนอายุน้อย ๆ (ตอนนั้นผม 35 แล้วนะครับ)
จนได้งานร้านขายคอมฯ เขาจ้างให้เฝ้าร้านและประกอบคอม ค่าแรงวันละ 300 บาท พรุ่งนี้มาทำได้เลย ดีใจมาก ผมยังไม่มีห้องพัก เลยหอบกระเป่าเสื้อผ้าไปนอนร้านเกมส์ ย้ำว่าไปนอนร้านเกมส์ คือเดินไปเดินมานั่งป้ายรถเมล์จนดึก แล้วก็ไปนั่งร้านเกมส์ เช่าคอมฯ เขา (เขามีเหมา 1 ทุ่ม ถึง 6 โมงเช้า ที่ 80 บาท) เลยวางของตรงนั้น นั่งเล่นเกมคร่าเวลาไป พอดึกก็นั่งหลับตรงนั้นเลย เงิน 80 บาทถือเป็นค่าที่พักห้องแอร์ มีเกมส์เน็ตให้เล่น 555 พอเช้า ตีห้า ตื่นมาก็หอบกระเป๋าเสื้อผ้า เดินไปปั๊มน้ำมันใกล้ ๆ เข้าห้องน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมไปทำงานวันแรก (แต่ไม่ได้อาบน้ำ ทนเหม็นหน่อยเอาแป้งเด็กทาตัวดับกลิ่นไปก่อน) ไปทำงาน และตอนพักเที่ยง เดินไปหาหอพักแถว ๆ นั้น (ผมไปอยู่แถว ๆ ม.พระจอมเกล้าฯ บางมด) เจอห้องพักราคาถูกเดือนละ 1 พันบาทไม่ต้องมัดจำ รวมน้ำไฟแล้ว เลยสนใจมาก เป็นห้องพักเก่า ๆ ตึกอาคารพานิชย์เก่า ๆ แบ่งห้องให้เช่า ในห้องไม่มีอะไร นอกจากพัดลมเพดาน กับเสื่อน้ำมันเก่า ๆ ห้องน้ำรวม ห้องน้ำก็เก่ามาก ๆ ไม่มีฝักบัว มีแต่ก๊อกกับโอ่งดินเก่า ๆ เล็ก ๆ รองน้ำกับขัน 1 ใบ ในตึก มีทั้งหมด 20 ห้อง มีคนอยู่ประมาณ 4 ห้อง ที่เหลือร้างหมด ดึก ๆ เหมือนตึกร้างเลย แต่ผมไม่กลัวผีหรอกนะ เลยเอาเงินวางจอง 1 พันบาท หอบเสื้อผ้าไปนอนวันนั้นเลย ได้ที่พักแล้ว 1 เดือน ได้งานทำแล้ววันละ 300 บาท ครบองค์ประกอบการรอดชีวิตแล้ว (ลืมบอกไปว่า ก่อนผมจะมากทม. ผมยืมเงินพี่ข้างบ้านไว้ 1 พันบาท ทิ้งไว้ให้ลูก-เมียกิน ตัวผมเอาเงินจากขายของมา 2 พันบาท) เงินเหลือติดตัวทั้งสิ้นประมาณ 800 บาท ณ วันที่ 1 ของเดือน ต้องอยู่ให้ได้ถึงสิ้นเดือนกับเงินสุดท้ายนี้ เพื่อเงินเดือนออกจะได้รอด ผมเดินไปทำงาน เพราะมันไม่ไกลมากประมาณ 3 กิโล ถ้าโชคดีเจอรถเมล์ฟรี ก็โดดขึ้นเลย ทำงาน ตอนเที่ยงไม่ได้กินข้าว กินแต่น้ำเอา
ตอนเย็นเลิกงาน ไปซื้อข้าวเปล่า 10 บาท กับปลากระป๋อง ยี่ห้อ ซีเล็ครสเผ็ด (กระป๋องเขียว ๆ) ราคา 14 บาท (ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ขึ้นราคาหรือยัง) รวมแล้ว 24 บาท (เอาขวดเปล่ากดน้ำตู้ 1 บาทไว้กิน) ผมซื้อปลากระป๋องแทบทุกวัน จนเด็กในร้านจำผมได้ เท่ากับว่าผมใช้ชีวิตอยู่ได้ ด้วยเงินวันละ 25 บาทเท่านั้น 30 วัน x 25 บาท ผมใช้เงินทั้งหมด 750 บาท ผมกินข้าวกับปลากระป๋อง เกือบทั้งเดือน ถ้าเบื่อผมก็เอาเงิน 25 บาทที่เป็นงบค่ากิน ไปซื้อข้าวไข่เจียวกล่องละ 20 บาท + ลูกชิ้น 1 ไม้ 5 บาท หรือหมูปิ้งไม้ละ 5 บาท 3 ไม้ + ข้าวเหนียว 10 บาท ก็สามารถอิ่มได้ มันสนุกที่จะทำไง ให้เงิน 25 บาท ซื้อของกินให้ได้มากที่สุด อิ่มที่สุด ผมซื้อปลากระป๋อง เซเว่นทุกวัน จึงเอาเงินสดเติมเข้าบัตร เซเว่นไป 500 บาท แล้วใช้เงินในบัตรซื้อปลากระป๋อง จนได้แต้มมาส่วนหนึ่ง แล้วเอาแต้มนั้นแลกเป็นของอย่างอื่น เช่น มาม่า ขนมปัง นม ฯลฯ แล้วแต่ว่าพอหรือเปล่า
ผมไม่มีเงินเติมมือถือ รับสายได้อย่างเดียว ตอนนั้นของ true มีบริการยืมเงินค่าโทรได้ 30 บาท ผมก็กดยืมเพื่อเอาไว้โทรหาลูกเมียที่บ้าน วันเว้นวัน โทรวันละ 2-3 นาทีก็รีบวาง หรือไม่ก็ให้เมียสมัครโปร 9 บาทโทรฟรี 2 ทุ่ม ถึง 6 โมงเช้า โทรมาหาผมแทน ยอมรับว่าตอนอยู่คนเดียว คิดถึงลูกมาก และเป็นห่วงเมียที่กำลังท้องอยู่ด้วย ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมจะไปช่วยยังไง ลูกป่วยจะทำไง ฯลฯ แต่ก่อนมาก็ฝากพี่ข้างบ้านช่วยดูแลไว้แล้ว คงไม่เป็นไรหรอก คิดแบบนั้นตลอดเวลา
ลืมบอกสิ่งที่ผมคิดว่า ผมก็ประทับใจตัวผมจนทุกวันนี้ (ชมตัวเองก็เป็น) ที่สุดก็คือทุกวันศุกร์ตอนเลิกงานแล้ว ผมจะนั่งรถเมล์ฟรีสาย 21 ไปลงหัวลำโพง และต่อรถไฟฟรีเพื่อกลับไปหาลูกเมียที่ลพบุรี ขึ้นรถเที่ยวสามทุ่ม (ถ้าจำไม่ผิด) ไปถึงลพบุรีประมาณเที่ยงคืน ขอยืมจักรยานของจนท.รถไฟ ขี่ไปหาลูกที่บ้าน (ขอยืมเขา พี่เขาก็ใจดีให้ยืมทุกครั้ง) แล้วอยู่กับลูก-เมียเย็นวันอาทิตย์ ก็นั่งรถไฟฟรีกลับ กทม. มาทำงานตอนเช้าวันจันทร์ต่อ ผมทำแบบนี้ทุกสัปดาห์ เพราะมันอดไม่ได้จริง ๆ ที่ไม่ได้เจอลูก-เมีย
จนถึงวันที่ 30 ที่เงินเดือนแรกจะออก น้ำหนักผมลดไป 5 กิโลกรัม แต่ไม่เป็นไรไม่ป่วยอะไร ผมเหลือเงินติดตัวสุดท้าย 50 บาทในวันสุดท้ายก่อนเงินเดือนออก เย็นนั้นผมเอาเงินนี้ไปซื้อข้าวมันไก่ 30 บาท + น้ำอัดลม 15 บาท จำได้จนถึงวันนี้ว่า เป็นมื้อที่ผมมีความสุขที่สุดในโลก เพราะ.....ผมได้อดทนมาถึงขนาดนี้ได้ ด้วยเงินแค่ 800 บาทอยู่ได้ทั้งเดือน หลังจากเงินเดือนออก 9,000 บาท ผมก็เอาเงินไปมัดจำห้องคอนโดเก่า ๆ มีห้องน้ำในตัว เช่าเดือนละ 1,500 บาท แล้วที่เหลือ ผมก็ไปพาลูก-เมียมาอยู่ด้วยกัน (ตอนนั้นเมียกำลังท้องประมาณ 6 เดือน) เหลือเงินจากหักย้ายบ้าน มัดจำคอนโดแล้ว เหลือประมาณ 5 พันบาท ซึ่ง 5 พันบาทนี้สำหรับ 3 ชีวิต และ อีก 1 ชีวิตในท้อง ผมคิดว่ามันเพียงพอแล้ว กินได้อาทิตย์ละ 1 พันเหลือเฟือเลย นั่นแหละครับ ชีวิตที่ต้องเสี่ยงและเดิมพันเพื่อคนอื่น ทุกอย่าง ทุกปัญหามีทางออกครับ เพียงแต่เราต้องใช้สติและปัญญาให้รอบคอบ
เพิ่มเติมครับสำหรับท่านที่เป็นห่วง เรื่องที่เล่ามาเป็นเรื่องที่เกิดเมื่อ "สองปีที่แล้ว" ก่อนลูกคนเล็กจะคลอดครับ ณ วันนี้ ผมก็อยู่ได้เรื่อย ๆ ครับ ไม่ถึงกับรวย แต่ก็ไม่ลำบากมาก สิ่งที่ผมเจอมานั้น อยากจะแชร์ให้ท่านที่คิดว่า ท้อ เหนื่อย เบื่อ เครียด เสียใจ ฯลฯ กับชีวิตที่สิ่งไม่ดีเข้ามาหาเรา
ผมอยากให้ท่านอย่าถอย จงสู้กับมันครับ สู้ด้วยสติ และพิจารณาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น บางสิ่งเรามองเห็นแต่ไม่ได้สนใจ ทางหลาย ๆ อย่างมันมีทางออกแน่นอน
- คนตกงาน ขอให้สู้ต่อครับ ผมก็ตกงานเกือบครึ่งปีมาก่อน
- คนเป็นหนี้สิน หาทางสู้ครับ ผมก็เป็นหนี้มากมายก่อนเป็นแสน ๆ
- คนมีปัญหาครอบครัว หันหน้าคุยกันครับ มีอะไรจะพูด บอกให้หมดทุกอย่าง แล้ว ช่วยกันเดินไปด้วยกัน ฯลฯ
ผมเชื่อว่าเราทุกคน ท้อได้ แต่อย่าถอยครับ ถ้าเหนื่อยก็นั่งพัก ให้หายเหนื่อย แล้วลุกขึ้นเดินต่อครับ สักวันหนึ่ง มันต้องเป็นของเรา ช้าได้แต่ขอให้สู้ครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณกบกินกะลา สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
Bookmarks