วิธียืดอายุให้กับยางรถยนต์
มีผู้ใช้หลายๆ คนที่ประสบปัญหาเรื่องยางหมดอายุการใช้งาน ทั้งๆ ที่ก็จอดนิ่งเป็นส่วนใหญ่ ดอกยางยังหนา เพราะใช้ไปไม่กี่หมื่นกิโลเมตร หรือบางคนอาจไม่ถึงหมื่นด้วยซ้ำ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากการเสื่อมสภาพของเนื้อยาง จนทำให้ดอกยาง (แข็งๆ) ไม่มีประสิทธิภาพในการยึดเกาะเท่าที่ควร นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับเสียง และยังเสี่ยงกับอันตรายจากการที่ยางระเบิดอีกด้วยล่ะครับ
จาก ผลการสำรวจของ National Highway Traffic Safety ของสหรัฐอเมริกา พบว่า 40 % ของจำนวน 43,000 ของผู้เสียชีวิตบนท้องถนนในแต่ละปี มีสาเหตุมาจากยางระเบิดครับ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว (พร้อมๆ กับการยืดอายุของยางไปในตัว) ก็ไปดูพร้อมๆ กันเลยครับ ว่าเราจะมีวิธีดูแลรักษายางอย่างไรให้สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพอย่าง ยาวนานที่สุด
ตรวจเช็คแรงดันลมยางรถอย่างสม่ำ
เสมอ อย่างน้อยๆ เดือนละครั้งแต่ถ้า
จะให้ดีก็ทุกสัปดาห์ครับ ส่วนแรงดัน
ลมยาง (ในกรณีที่ยางกับล้อนั้นเป็น
สเป๊คเดิมๆ จากโรงงาน) ถ้าจะให้
ชัวร์ ก็ให้ได้ตามที่โรงงานเค้าระบุไว้
นั่นแหละครับ
ชัวร์นะว่าแรงดันลมยางนั้นถูกต้อง
แล้ว แม้ว่าจะตรวจเช็คแรงดันลมยาง
สม่ำเสมอ แต่แน่ใจแล้วหรือว่าแรงดัน
ลมยางนั้นถูกต้อง? ประเด็นนี้เกี่ยว
พันกับเกจ์วัดลมยางโดยตรง ซึ่งก็เหมือนกับที่ นาย T เคยบอกไปแล้วนั่นแหละครับ ว่าควรมีเกจ์วัดลมยาง (ที่ได้มาตรฐาน) ติดรถเอาไว้แบบใช้ของเราคันเดียว เนื่องจากเกจ์วัดที่ใช้ตามสถานีบริการน้ำมันนั้น ส่วนใหญ่จะผ่านการใช้งานจนค่าเพี้ยนไปหมดแล้ว จึงมักจะแสดงค่าไม่ตรงกับความเป็นจริงเท่าที่ควรครับ
ความหนาของดอกยาง ที่ยางแต่ละเส้นจะมี Wear Bars ที่คั่นกลางระหว่างดอกยาง ซึ่งจะทำหน้าที่บ่งบอกขีดจำกัดความหนาของดอกยางเอาไว้ และหากดอกยางสึกจนถึง Wear Bars ล่ะก็ ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะยืดเยื้อในการดันทุรังใช้งานยางชุดนั้นๆ ได้เลยล่ะครับ
ศูนย์ล้อเพราะศูนย์ล้อมีผลโดยตรงต่อการบังคับควบคุมและการเสื่อมสภาพของยาง ดังนั้นจึงควรที่จะตรวจเช็คศูนย์ล้อเป็นประจำทุกๆ 6 เดือนครับ
ช็อค อับ หากว่าช็อคอับเสื่อมสภาพ ก็จะเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ดอกยางสึกไม่สม่ำเสมอตามไปด้วย ซึ่งนั่นก็เป็นอีกปัจจัยที่ก่อให้เกิดการระเบิดของยางในภายหลังครับ
ล้อ ไม่ได้ศูนย์ หมุนแล้วสั่นสะท้าน เมื่อถึงความเร็วช่วงใดช่วงหนึ่ง ที่จะรู้สึกได้ถึงอาการสั่นสะท้านเป็นประจำล่ะก็ แสดงว่าถึงเวลาที่จะต้องถ่วงล้อแล้วล่ะครับ แต่อันนี้ทั้งล้อและยางจะต้องไม่เบี้ยว, คดหรือ (ยาง) บวมด้วยนะครับ
หลีก เลี่ยงของแข็งและมีคม ไม่ว่าจะเป็นขอบฟุตบาท, เศษแก้ว, ก้อนหิน ฯลฯ เพราะล้วนแต่สร้างความเสียหายให้กับแก้มยางและดอกยางได้เป็นอย่างดี และในระยะยาวก็เป็นผลร้ายกับการขับขี่แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวซะด้วยซิครับ
ถ้า จะให้ระบุว่ากี่ปีหรือกี่กิโลเมตรที่ควรจะเปลี่ยนยางชุดใหม่ดี ก็คงจะยากที่จะบอกเป็นตัวเลขที่แน่ชัด อันเนื่องมาจากพฤติกรรมของการขับขี่, ความถี่ในการใช้งาน ตลอดจนสภาพเส้นทางที่เคลื่อนผ่านของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน เท่าที่พอจะสังเกตุได้ก็คือ ความหนาของดอกยาง, รอยแตกร้าวบริเวณไหล่/แก้ม/ดอกยาง และเสียงที่เกิด (ซึ่งตอนแรกๆ ไม่มี) นั่นแหละครับ ด้วยสนนราคาของยางใหม่ชุดนึงก็ไม่ใช่ถูกๆ เพราะฉะนั้นก็ควรจะใช้ประสิทธิภาพของยางให้เต็มที่ แต่ เมื่อใดที่เสื่อมประสิทธิภาพ ก็จงอย่า เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย ครับ
Credit...http://forum.khonkaenlink.info/index.php?topic=204190.0
Bookmarks