ชายคนหนึ่งถูกตัดสินประหารชีวิต ก่อนตายเขาขออนุญาติผู้คุมไปล่ำลาเพื่อน แล้วรีบตรงไปหาเพื่อนคนแรกซึ่งรักมากที่สุด ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง แล้วถามว่าถ้าต้องตายเพื่อนจะทำอย่างไร เขาได้รับคำตอบแบบคิดไม่ถึงว่า "ถ้าเธอตาย เราก็จบกันแค่นี้" พอไปหาเพื่อนคนที่สอง ซึ่งมีความสำคัญต่อเขามาก เพราะเคยทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เพื่อนคนนี้มา แต่พอเล่าจบ คำตอบที่ได้คือ "ถ้าเธอตาย ฉันก็มีเพื่อนใหม่" เขาเดินคอตกไปหาเพื่อนคนที่สามที่เคยดูแลเอาใจใส่กันมาก่อน เล่าเรื่องให้ฟังแล้วถามเหมือนเดิม ได้รับคำตอบว่า"ถ้าเธอตาย ฉันจะไปส่ง" สุดท้ายเขาไปหาเพื่อนอีกคนซึ่งตนเองไม่ค่อยสนใจใยดีนัก แต่พอเล่าจบกลับได้รับคำตอบว่า "ถ่าเธอตาย ฉันจะตามไปด้วย" เขารู้สึกผิดและเสียดายอย่างยิ่งที่ตลอดชีวิตไม่เคยเห็นคุณค่าของเพื่อนคนนี้เลย
ในเรื่องนี้ ท่านเปรียบเพื่อนคนที่หนึ่งว่าคือร่างกายของเราเอง เพราะตอนที่มีชีวิตอยู่เราจะบำรุงบำเรอมันทุกอย่าง อยากได้อะไรเป็นต้องหาให้ แต่พอถึงเวลาตาย เรากับร่างกายก็จบกันแค่นี้
เพื่อนคนที่สองท่านเปรียบเหมือนทรัพย์สิน เพราะชีวิตเราทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้มันมา แต่พอตายลง สมบัติเหล่านั้นกลับไปอย่กับคนอื่นแทน
เพื่อนคนที่สามก็คือญาติพี่น้อง เพราะเหตุที่เคยอุปการะเลี้ยงดูกันมา พอเราตายลงเขาจะทำหน้าที่จัดการศพให้ ทำบุญอุทิศไปให้ เหมือนไปส่งเราได้ในระยะหนึ่ง
เพื่อนคนที่สี่ ซึ่งในขณะมีชีวิตเรามักไม่ให้ความสำคัญเท่าไรนัก แต่เมื่อสิ้นลมกลับติดตามเราไปตลอด เพื่อนคนนี้ก็คือบุญกับบาป
ร่างกาย ทรัพยสิน หรือญาติพี่น้อง ทุกอย่างสำคัญหมดก็จริง แต่อย่าลืมให้ความสำคัญกับเรื่องบุญเรื่องบาปด้วย เพราะเป็นเพื่อนที่ต้องติดตามไปถึงภพหน้า และควรให้ความสำคัญตั้งแต่วันนี้ เดี๋ยวนี้ เพราะถ้าถึงวันนั้น ต่อให้นึกได้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว (ที่มา อศจ.นย.)
Bookmarks