หลายๆท่านได้มีโอกาสไปสักการะบูชาและขอพรจาก พระพิฆเนศวร์
เชื่อว่ามีไม่น้อยที่ยังขาดความรู้เกี่ยวกับ พระพิฆเนศ ว่ามีตำนานเล่าขานกันว่าอย่างไร
จึงได้สืบค้นนำมาให้อ่านเล่น ประกอบภาพถ่ายกันเพลินๆ
ตามมาเลย ... ครับ![]()
หลายๆท่านได้มีโอกาสไปสักการะบูชาและขอพรจาก พระพิฆเนศวร์
เชื่อว่ามีไม่น้อยที่ยังขาดความรู้เกี่ยวกับ พระพิฆเนศ ว่ามีตำนานเล่าขานกันว่าอย่างไร
จึงได้สืบค้นนำมาให้อ่านเล่น ประกอบภาพถ่ายกันเพลินๆ
ตามมาเลย ... ครับ![]()
พระพิฆเนศวร์
เทพเจ้าของฮินดู
เป็นโอรสของพระศิวะ มีกายเป็นมนุษย์ เศียรเป็นช้าง
เป็นเทพที่นิยมบูชากันมากที่สุดในบรรดาเทพฮินดูทั้งหลาย
เนื่องจากพระองค์เป็นเทพผู้ขจัดความขัดข้องและเป็นผู้อำนวยความสำเร็จให้แก่กิจการทั้งปวง
ชาวอินเดียเมื่อจะประกอบพิธีทางศาสนา
หรือศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาจะต้องบูชาพระพิฆเนศวรร์เสียก่อนเพื่อขอความสำเร็จในกิจการนั้น ๆ
การนับถือพระพิฆเนศวร์ ในประเทศอินเดียเริ่มปรากฏอย่างเด่นชัดในสมัยปุราณะ (ประมาณ พ.ศ. 861-1190)
มีผู้สันนิษฐานว่ามีกำเนิดมาจากการเป็นเทพพื้นเมืองของชาวอินเดีย
ซึ่งมีการบูชาสัตว์เป็นลัทธิพื้นเมืองดั้งเดิม
มีการบูชาเทพที่มีเศียรเป็นสัตว์ต่าง ๆ เป็นเทพประจำเผ่า
และเนื่องจากช้างเป็นสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย
พระพิฒเนศว์ที่มีเศียรเป็นช้างจึงได้รับยกย่องเป็นหัวหน้าของเทพที่มีเศียรเป็นสัตว์ทั้งหลาย![]()
ประวัติของพระพิฆเนศวร์
ตามเทพนิยายในคัมภีร์ทางศาสนา
มีกล่าวอยู่ในคัมภีร์ปุราณะซึ่งเป็นเรื่องราวที่กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของเทพและเทพี
มีทั้งสิ้น 18 เล่ม
โดยกล่าวถึงกำเนิดและประวัติของพระพิฆเนศวร์แตกต่างกันไป
แต่ส่วนใหญ่คล้ายคลึงกัน คือมีกำเนิดมาในฐานะเทพผู้ขจัดอุปสรรค
ดังเช่นที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ศิวปุราณะ (Sivapurana) ตอนหนึ่งว่า
“ครั้งหนึ่ง ชยาและวิชยาพระสหายของพระนางปารวาตี
ได้แนะนำพระนางว่าแม้พระนางจะมีนนทิ (Nandi) ภฤิงคิ (Bhringi) และบริวารอื่น ๆ ของศิวะแล้ว
แต่ถ้าพระนางจะมีคนรับใช้ของพระนางเองก็จะดียิ่งขึ้น พระนางก็เห็นด้วย
ครั้งหนึ่ง เมื่อพระนางกำลังสรงน้ำอยู่ก็นึกถึงคำเตือนของพระสหาย
จึงนำเหงื่อไคลจากพระฉวีมาสร้างเป็นบุรุษรูปงาม
และสั่งให้เฝ้าอยู่หน้าประตูห้ามมิให้ใครเข้ามาโดยมิได้รับอนุญาต
วันหนึ่งพระศิวะได้เสด็จมายังที่ประทับของพระนางปารวตี
พระคเณศจึงได้ขัดขวางได้อย่างแข็งขัน
พระศิวะทรงพระพิโรธอย่างหนัก ทรงสั่งให้ ภูต – คณะ ของพระองค์สังหารทวารบาลนั้น
แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะได้ แม้กระทั่งพระวิษณุสุพรหมณยะ
พระนางปารตีทรงส่งเทพยาดา 2 องค์มาช่วย
พระวิษณุจึงใช้อุบาย และสามารถตัดเศียรพระคเณศได้
พระนางปารวดีทรงพระพิโรธมาก
ส่งเทพยดาจำนวนมากไปก่อกวนจนเกิดเรื่องใหญ่
จนฤษีนารทะต้องมาห้ามอ้อนวอนขอให้รพระนางสงบศึก
พระนางสัญญาว่าถ้าพระโอรสของพระนางฟื้นคืนชีพขึ้นมานางจะหยุดทันที
พระศิวะจึงสั่งให้เทวดาเดินทางไปทางทิศเหนือ
ไปนำศรีษะของสิ่งมีชีวิตสิ่งแรกที่พบมาต่อให้กับพระโอรสของพระนางปารวตี
เทวดาได้นำศรีษะของช้างมาต่อเข้ากับศอของพระคเณศ
ช้างที่นำมานั้นมีงาข้างเดียว พระคเณศจังได้นามว่า คชานนะ แปลว่ามีหน้าเป็นช้าง
และ เอกทันตะ แปลว่ามีงาข้างเดียว
เมื่อฟื้นขึ้นมาพระคเณศได้ขอโทษต่อพระศิวะและเทวดาอื่น ๆ
ทำให้พระศิวะพอใจ ประสาทพรให้พระคเณศมีอำนาจเหนือภูติผีทั้งหลาย แต่งตั้งให้เป็นคณปติ (ผู้มีอำนาจ – ผู้ยิ่งใหญ่)
ด้วยเหตุนี้พระคเณศจึงได้รับนามใหม่อีกหลายนาม
คือ คชานนะ, เอกทันตะ, และคณปติ”![]()
พระพิฆเนศวร์ บรมครูช้างผู้ยิ่งใหญ่
สำหรับในประเทศไทยนั้น
ส่วนใหญ่จะรู้จักพระพิฆเนศวร์ ในฐานะเทพแห่งศิลปวิทยา
และในฐานะบรมครูช้าง
ซึ่งก็สืบเนื่องมาจากบนความคิดดั้งเดิม คือ เป็นเทพแห่งอุปสรรค และความสำเร็จทั้งปวงนั่นเอง
ได้ปรากฏหลักฐานทางเอกสารและโบราณคดีเกี่ยวกับพระพิฆเนศวร์
ในฐานะบรมครูช้างมาตั้งแต่สมัยแรกที่ไทยเข้ามาครอบครองดินแดนแถบนี้แล้ว![]()
พระพิฆเนศวร์ ในฐานะบรมครูช้าง
หรือที่เรียกว่า พระเทวกรรม นั้นเป็นเทวรูปสำคัญของผู้ที่ศึกษาวิชาคชศาสตร์
หรือที่เรียกว่า “ตำราช้าง”
ซึ่งไทยรับมาจากอินเดียต้นฉบับเดิมเป็นภาษาสันสกฤต แบ่งได้เป็น 2 คัมภีร์
คือ ตำราคชลักษณ์ กล่าวถึงลักษณะของช้างให้รู้ว่าช้างดี-เลว ต่างกันอย่างไร
อีกคัมภีร์หนึ่ง คือตำราคชกรรม
สอนวิธีหัดช้างเถื่อน และวิธีหัดขี่ช้าง
รวมทั้งมนต์สำหรับบังคับช้าง และระเบียบพิธีต่าง ๆ
ซึ่งทำให้เกิดสิริมงคลและบำบัดเสนียดในการที่เกี่ยวเนื่องกับช้าง
การคชศาสตร์นั้นเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งในไตรเพท
ซึ่งพระมหากษัตริย์จะต้องทรงศึกษาเรียนรู้โดยมีพราหมณ์เป็นผู้นำเข้ามาสู่ราชสำนัก
ซึ่งสันนิษฐานว่าไทยคงได้รับมาตั้งแต่ในสมัยสุโขทัยแล้ว
แม้จะไม่มีหลักฐานทางเอกสารระบุไว้แน่ชัดก็ตาม
แต่ก็มีหลักฐานการนับถือศาสนาพราหมณ์
และหลักฐานที่แสดงว่าพระมหากษัตริย์ทรงรอบรู้ในการคชศาสตร์เป็นอย่างดี![]()
ชมภาพ ... พร้อมกับเก็บเกี่ยวความรู้กันไปน่ะครับ![]()
ภาพประกอบที่นำเสนอทั้งหมดจากอุทยานพระพิฆเนศวร์ จ.นครนายก![]()
ในสมัยอยุธยา
การคชกรรมเฟื่องฟูหลายยุคหลายสมัย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2199-2231)
ดังปรากฏในพระราชพงศาวดาร ถึงการที่พระองค์โปรดเกล้า ฯ ให้หล่อรูปพระพิฆเนศวร์
และพระเทวกรรมหลายครั้งด้วยกัน เช่น
“……….ในเดือนยี่ ปีวอกนั้น
พระบาทสมเด็จพระบรมบพิตรเจ้าอยู่หัว บำเพ็ญพระราชกุศลนานาประการ
แล้วให้หล่อพระรูปพระอิศวรเป็นเจ้า ยืนสูงศอกคืบมีเศษพระองค์หนึ่ง
รูปพระศิวาทิตย์ ยืนสูงศอกมีเศษ พระองค์หนึ่ง รูปพระมหาวิฆเณศวร พระองค์หนึ่ง
รูปพระจันทราทิศวร พระองค์หนึ่ง
และรูปพระเจ้าทั้ง 4 พระองค์นี้ สวมทองนพคุณและเครื่องอาภรณ์ประดับนั้นถมยาราชาวดี ประดับแหวนทุกพระองค์
ไว้บูชาสำหรับพระราชพิธี”
และ “ ปีวอก อัฐศก นั้น ตรัสให้หล่อรูปพระเทวกรรม สูงประมาณศอกมีเศษ พระองค์หนึ่ง สวมทอง เครื่องประดับถมราชาวดี….”![]()
ครั้นปีระกา นพศก
พระบาทสมเด็จพระบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว มีพระราชโองการตรัสสั่งพระยาจักรี
ให้แต่งโรงพิธีบัญชีพรหม กรมพระคชบาลสำหรับพระราชพิธีทั้งปวงในทะเลหญ้า ตำบลเพนียด
และทรงพระกรุณาตรัสให้หล่อพระเทวกรรมทอง ยืน สูงหนึ่งศอก หุ้มด้วยเนื้อเจ็ด แล้ว
และเครื่องอาภรณ์นั้นถมราชาวดีประดับด้วยแหวน ไว้สำหรับการพระราชพิธีคชกรรม
ให้พระมหาราชครู พระราชครู และพฤฒิบาศ
และปลัดพระราชครูประกอบการพระราชพิธีบัญชีพรหม
ในวันศุกร์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 7
จึงพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จยังการพระราชพิธีมหาปรายาจิตร
แล้วพระราชพิธีบัญชีพรหมทะเลหญ้า ก็ประพฤติการพระราชพิธีสารตำรับอันมีในคชกรรมนั้นทุกประการ
“แล้วก็ตรัสให้หล่อพระบรมกรรมพระองค์หนึ่งสูง 4 ศอก หลักฐาน
แล้ว อภิเษกเสร็จก็ให้รับไปประดิษฐานไว้ในพระอารามพระศรีรุทรนาถ ตำบลชีกุล
และตรัสให้หล่อพระเทวกรรมองค์หนึ่งสูงประมาณ 4 ศอก ไว้ในหอพระเทวกรรม..”![]()
ปาดๆๆๆๆ
โอม...พระพิฆเนศวร สิทธิ ประสิทธิเม มหาลาโภ ทุติยัมปิ
...พระพิฆเณศวร สิทธิ ประสิทธิเม มหาลาโภตะติยัมปิ
...พระพิฆเณศวร สิทธิ ประสิทธิเม มหาลาโภ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลและรูปสวยๆครับ.....เคยไปสักการะสวยงามครับ
หลักฐานทางโบราณคดีสมัยอยุธยาที่น่าสนใจชิ้นหนึ่ง
คือประติมากรรมรูป พระพิฆเนศวร์บนด้ามมีดของหมอช้างที่ใช้ในการประกอบพิธีเกี่ยวกับช้าง
เพราะพระพิฆเนศวร์ (พระเทวกรรม) เป็นเทวรูปสำคัญของผู้มีหน้าที่เป็นคชบาล
เป็น “พระ” ของกรมช้างได้เคารพนับถือกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ตามตำนานกล่าวว่า “ ผู้มีตำแหน่งเป็นครู อาจารย์ ในทางคชกรรมต้องมี “พระคเณศ”
ซึ่งแกะด้วยงาช้างตระกูลพิฆเนศวรมหาไพฑูรย์ไว้บูชา (ช้างในตระกูลอัคนิพงศ์)
ขณะใดไปแขกโพนช้างเถื่อนก็นำเอาไปกับตัวอย่างเครื่องรางด้วย
บางคนใช้งาช้างตระกูลนั้นแกะเป็น “พระคเณศ”
ที่ด้ามมีดไว้สำหรับใช้เป็นอาวุธประจำตัวในขณะไปทำการคล้องช้าง”
แต่ ในกรณีนี้ทำด้วยสำริด พบที่อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น แม้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระพิฆเนศวร์
และพระเทวกรรมค่อนข้างสับสน
แต่ก็ยังปรากฏหลักฐานการกล่าวถึง พระพิฆเนศวร์และพระเทวกรรมในวรรณกรรมต่าง ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวรรณกรรมที่เกี่ยวช้าง ได้แก่ฉันท์ ดุษฏีสังเวยกล่อมช้าง
ซึ่งเป็นฉันท์ที่ใช้สวดในงานพิธีสมโภชพระยาช้าง
การกล่อมช้างนี้เข้าใจว่าเป็นพิธีที่เราได้มาจากเขมร
และเขมรได้มาจากพราหมณ์อีกทอดหนึ่ง
คำประพันธ์ประเภทนี้ยังคงใช้กันอยู่แม้กระทั่งในปัจจุบัน![]()
ในสมัยรัชการที่ 6 พระองค์ทรงสนพระทัยในภารตวิทยาเป็นพิเศษ
จึงทรงเข้าพระทัยประวัติความเป็นมาของพระพิฆเนศวร์ได้อย่างถูกต้อง
วรรณกรรมต่าง ๆ ในสมัยนี้มักมีบทบูชาพระพิฆเนศวร์ ในฐานะเทพผู้ขจัดอุปสรรค และเทพแห่งศิลปวิทยา
แต่ขณะเดียวกันก็มีการกล่าวถึงพระพิฆเนศวร์ในฐานะบรมครูด้วย
เช่น จากบทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวตอนหนึ่ง
ในบทละครเรื่องสามัคคีเสวก ตอนกรีนิรมิต (พระคเณศวรเสียงา)
ทรงกล่าวถึงพระพิฆเนศวรในฐานะบรมครูช้างผู้ใหญ่
ดังนี้……..
“อนึ่งพระพิฆเณศเดชอุดม เป็นบรมครูช้างผู้ใหญ่
เธอสร้างสรรพกะรีที่ในไพร เพื่อให้เป็นสง่าแก่ชาตรี
สร้างสารแปดตระกูลพูนสวัสดิ์ ประจงจัดสรรพางค์ต่างต่างสี
แบ่งปันคณะอัฎฐะกะรี ประจำที่อัฏฐทิสสถาพร”![]()
ในปัจจุบัน
เรารู้จักพระพิฆเนศวร์กันอย่างแพร่หลาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะบรมครูช้าง
ทั้งนี้เนื่องจากพระพิฆเนศว์มีบทบาทอย่างสำคัญในกิจพิธีเกี่ยวกับการสมโภชขึ้นระวางช้างเผือก
เริ่มตั้งแต่ในพิธีจับเชิงจนถึงพระราชพิธีน้อมเกล้า ฯ ถวายและขึ้นระวางสมโภช
ซึ่งพราหมณ์จะอัญเชิญพระเทวกรรมเข้าพิธีด้วย
กล่าวสรุปได้ว่า พระพิฆเนศวร์ ในฐานะบรมครูช้าง
หรือที่รู้จักกันในนามของ
“พระเทวกรรม”
เป็นแนวความคิดที่แพร่หลายในสมัยอยุธยา
เมื่อการคชศาสตร์เป็นที่นิยมในราชสำนัก
ความจริงแล้วเราได้พบหลักฐานเกี่ยวกับการคชศาสตร์ตั้งแต่สมัยสุโขทัย
ดังปรากฏจากหลักฐานทางเอกสาร แม้จะไม่มีการกล่าวถึง “พระเทวกรรม” อย่างเด่นชัด
แต่เมื่อมีการคชศาสตร์เกิดขึ้น ก็ต้องมีการบูชาพระเทว-กรรมควบคู่กันด้วย
การคชศาสตร์นั้นเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งในไตรเพท
ซึ่งพระมหากษัตริย์ (ผู้เป็นนักรบ - ตามชั้นวรรณะ) จะต้องทรงศึกษาเรียนรู้
โดยมีพราหมณ์เป็นผู้นำเข้าสู่ราชสำนัก
พราหมณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นพรหมณ์ที่มาจากเขมรมากกว่าเป็นพราหมณ์ที่มาจากอินเดีย
ในสมัยอยุธยานั้นมีการกล่าวถึงพระเทวกรรมอย่างชัดเจน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ซึ่งเป็นยุคที่ศาสนาพรหมณ์เฟื่องฟุ
ในพงศาวดารกล่าวถึงการหล่อรูปเคารพพระพิฆเนศวร์ และพระเทวกรรม
แสดงให้เห็นว่าในสมัยนี้พระคเณศวรปรากฏฐานะแยกเป็น 2 รูปแบบอย่างชัดเจน
คือ “พระวิฆเณศวร” เทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ผู้ขจัดอุปสรรค และ “พระเทวกรรม” เทพในฐานะครูช้าง![]()
จากหลักฐานทางโบราณคดี
เราได้พบรูปเคารพ “พระเทวกรรม” ปรากฏบนด้ามมีด
ซึ่งเชื่อว่าเป็นมีดสำหรับหมอช้าง
เป็นของในสมัยอยุธยา
นอกจากนี้ยังพบรูปเคารพพระคเณศขนาดเล็ก
ซึ่งได้รับคำบอกเล่าว่าเป็นพระคเณศที่ใช้ในการประกอบอาชีพและประกอบพิธีเกี่ยวกับช้าง
นั้นก็คงหมายถึงพระคเณศวร์ในนามของ “พระเทวกรรม” นั่นเอง
ลักษณะนี้จะปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ทั้งในด้านวรรณกรรม
และพิธีกรรมเกี่ยวกับช้าง![]()
ข้อมูลทั้งหมดอ้างอิงจาก
หนังสือที่ระลึก สำหรับแจกในงานพระราชทานเพลิงศพ จมื่นสิริวังรัต (เฉลิม คชาชีวะ)
10 ตุลาคม 2528 หน้า 1-5
ที่มา : มูลนิธิคชบาล![]()
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง ไม่มากก็น้อย ... ครับ ข้อความอาจเยอะไปนิดอยากให้สมาชิก Triton Club รอบรู้มากกว่าใครๆหรือจะเลือกชมแต่ภาพประกอบก็ตามอัธยาศรัยเพื่อการพักผ่อนหลังภารกิจการงานประจำวัน ... ครับ![]()
ปล. ข้อสังเกตุ
พระพิฆเนศวร์ ในตำนานที่ถูกต้อง
เศียรเป็นช้างและต้องมีงาซ้ายข้างเดียว
น่ะ ... จะบอกให้![]()
เหมือนน้าจะหายไปจากห้องภาพนานเหมือนกันครับหรือผมไม่ค่อยได้เข้ามาดูก็ไม่รู้....ผมเคยดูรูปที่น้าถ่ายมาลงสวยงามมากครับ.....ขอบคุณที่แบ่งปันกันชมครับ
wj3932 ... ขอบคุณที่เยี่ยมชม ผมชอบถ่ายภาพ เป็นงานอดิเรก เพื่อการผ่อนคลาย ถ้าไม่ติดภารกิจ ว่างเมื่อไร ก็ชอบที่จะนำภาพถ่ายมาแบ่งปัน ติชมได้ตามสบายน่ะครับ![]()
ภาพสวยครับน้า
แอบมาแปดริ้วก็ไม่บอก
ในขณะนี้มี 1 ท่านดูกระทู้อยู่. (0 สมาชิกและ 1 ผู้เยี่ยมชม)
Bookmarks