+1 เสียงครับ
+1 เสียงครับ
อย่าไปวิตกกังวลคิดมากให้ปวดสมองเป็นไมเกรนเปล่าๆ ไม่มีโครงการรถคันแรกก็มีคนซื้อ มีคนผ่อนไม่ไหวถูกยึดหรือขายดาวน์อยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้รัฐมีโครงการรถคันแรก ยอดซื้อมันเยอะขึ้นยอดคนที่ผ่อนไม่ไหวก็เยอะตามอัตราส่วนเท่านั้นเอง ผมมองว่าที่นักวิชาการมันคิดมาเหมือนมีคนมาเล่าเรื่องผีให้เรากลัวก็เท่านั้น รู้ทั้งรู้ว่าผีไม่มีจริงแต่ก็ยังกลัว..........จริงๆ แล้วเมื่อรัฐจัดให้มันก็เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล ผ่อนไหวไม่ไหว ผมว่าคนซื้อรถคงนั่งคิดนอนคิดกันหลายตลบ คงไม่เอาเงินดาวน์เงินแสนมาทิ้งเสียเปล่าๆ
ผมมองอีกข้อคือ.....พวกนักวิชาการ หรือพวกนักวิจารณ์ต่างๆ เป็นพวกแอบอิจฉา(ข้างบ้านมีรถใหม่ รถเรากลายเป็นรถเก่า) เห็นเป็นทุกข์เป็นร้อนเสียเหลือเกิน หนึ่งปีกว่ามาแล้วมีจำนวนตัวเลขที่แน่นอนหรือเปล่า ว่าคนที่ผ่อนไม่ไหวกี่คนรถถูกยึดกี่คัน ไม่เห็นมีสำนักไหนเปิดเผยตัวเลขที่จริงจังสักที
ต้องดูกันยาวๆครับ
รอนโยบายรถยนต์คันสองดีกร้า ก็ไม่ได้ใช้สิทธิ์รถยนต์คันแรกนี่หนา
ให้มันแพงแค่ไหน ถ้ามันจำเป็นก็ต้องทำ หรือ ทน ^ ^
แต่ผมติดใจตรงเนี้ย"การเพิ่มลูกค้าให้กับตำรวจจราจรมากขึ้น รถมากขึ้นโอกาสกระทำผิดย่อมมากขึ้น เอาแค่เฉพาะเรื่องการตรวจจับความเร็วเดือนหนึ่งก็สร้างรายได้ให้กับตำรวจจราจรได้มาก ด้วยกล้องตรวจจับความเร็วที่ลงทุนไป หรือโอกาสของการเกิดอุบัติเหตุและปัญหาการจราจรย่อมมีมากขึ้น"
อยากให้มองตอนแรกที่ประกาศนโยบายนี้ เพื่อให้ได้ผลงาน เพื่อให้ประชาชนชอบ แต่สิ่งที่เขาคิดไว้แล้วคือจุดคุ้มทุน สิ่งง่ายๆของนักลงทุนในคราบนักการเมือง อื้อในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มจำนวนของรถยนต์ และพวกนี้ก็รู้ว่ามีช่วงเวลา ก่อนเวลาโปรโมชั่นจะหมดลง ลดแลกแจกแถม สร้างแรงจูงใจ พอหมดโปรโมชั่นลง ก็ขึ้นราคาเอาทุกอย่างคืน สิ่งใกล้ๆตัวมีอยู่ว่าญาติๆกัน ห้ามก็ไม่ฟัง ไม่รู้กำลังตัวเอง เดือดร้อนเราซิครับ เซง...
สื่อบางสื่อมีหน้าที่วิจารณ์ อย่างเดียว เคยทำอะไรให้บ้านเมืองนี้บ้างหรือป่าวคับ...
ข่าวลักษณะอย่างนี้...เรารู้ข้อมูลไว้บ้างก็ดีครับ แต่ก็อย่าไปกังวลมันมาก ใช้ชีวิตแบบที่เป็นตัวตนของเราไปดีกว่า ...
ไม่ว่าจะยังไง เราซื้อรถมาแล้วก็ต้องผ่อนอยู่ดี ไม่ว่าจะคันแรกหรือคันที่ หนึ่งร้อย อย่าไปซีเรียส...
ต่อให้น้ำมันลิตรละ 100 บาทเราก็ต้องเติมอยู่ดี อย่าไปซีเรียส....
บางทีการรับรู้ข่าวสารมากเกินไปทำให้เราวิตกกังวลใจเปล่า...
ทำงาน-เก็บเงิน-อยู่กับครอบครัว ใช้ชีวิตในแบบทีควรจะเป็นสำหรับผม แค่นี้พอละครับ..
ชีวิตเราใช้ซะ...
ดอกเหงื่อ
เมื่อไหร่จะออกนโยบายเมียคนแรก คืนสินสอดเต็มวงเงิน รอ ร๊อออออ รอ
พูดถึงรถคันแรก ผมมองว่าคนที่ซื้อส่วนใหญ่คงคิดดีแล้วล่ะว่าจะต้องบริหารเงินอย่างไร รายรับ-รายได้ต่อเดือนเท่าไหร่ มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างต่อเดือน จะเหลือเท่าไหร่
จะมีที่สิ้นคิดก็ส่วนน้อยที่เห็นแก่นโยบายคือภาษีจนไม่ลืมหูลืมตาว่าตัวเองมีสภาวะการเงินอยู่ในสถานะไหน ประเภทนี้ก็คงต้องรับเคราะห์ไป บางค่ายรถจัดโปรโมชั่นดาวน์ต่ำ 5%
ไอ้คนทุนน้อยก็ตาโต เห็นว่าดาวน์ถูกก็ถอยมาขับกัน แต่ไม่มองรายรับตัวเองต่อเดือน บางคนพอจ่ายงวดรถ แทบไม่เหลือเงินทำอย่างอื่น ตายอย่างเดียว
ผมขายคันเก่าที่ใช้มา7ปีเป็นชื่อผมเเล้วซื้อใหม่เป็นชื่อภรรยาเข้าโครงการรถคันเเรก เรื่องผ่อนไหวอยู่เเล้วครับ
น้าๆหลายคนมองว่า ยังไงคนที่มีความจำเป็นก็ต้องซื้ออยู่แล้ว น้ำมันแพงขึ้นยังไงก็ต้องเติม
แต่นโยบายนี้มันกระตุ้นให้คนซื้อเร็วขึ้น คนแห่กันมาซื้อในเวลาเดียวกันเพื่อต้องการเงินคืนภาษี(สำหรับคนที่ซื้อเพื่อความจำเป็นก็มี แต่คนที่ซื้อเพราะต้องการเงินคืนภาษีก็เยอะ)
พอคนใช้รถเยอะ ความต้องการด้านอื่นๆก็เยอะตามมา น้ำมันก็มีคนเติมมากขึ้น ไหนจะต้องเสียภาษีรายปี ไหนจะต้องค่าประกันภัย
คราวนี้นักธุรกิจ(ในคราบนักการเมือง)จะขึ้นราคายังไงก็ได้ ขึ้นเท่าไหร่ก็ได้ เพราะยังไงคนก็ต้องซื้อ ต้องใช้ แถมความต้องการเยอะมากด้วยเพราะใครๆก็มีรถ
..กอบโกยกันสบายไปเลย
ไม่มีนโยบายนี้ มันจำเป็นเราก็ซื้ออยู่ดี
แต่นโยบายนี้ มัน ก็ช่วยให้หลายคนตัดสินใจซื้อได้เร็ว
นายทุนใหญ่ของนักการเมืองปัจจุบัน ธุรกิจเกี่ยวกับยานยนต์ก็มีทุนรอน
แรงงานมีงานทำ ได้รองรับกับการปรับค่าแรงที่เพิ่มขึ้น
เกรงแต่ตรูจะซวย เมื่อผ่านไปสักระยะ มันจะมารีดภาษีกับราชการตัวน้อย รีดค่าครองชีพคนหาเช้ากินค่ำ
เลี่ยงการเติมน้ำมัน ปอตอทวย
ช่วยลดการผูกขาดพลังงานได้นิดนึงครับ
ช้าเร็วรถก็ต้องซื้ออย่าคิดมาก อย่างน้อยเราก็ได้รถมาใช้..ไหวไม่ไหวค่อยว่ากัน
ถือซะว่าได้ออกรถใหม่มาขับครับ พี่น้อง
ไม่ออกนโยบาย "เมียคนแรก" มามั่งวุ๊ยยย....
จะได้ปล่อยยึด.....กร๊ากกกกกกกกก
ในขณะนี้มี 1 ท่านดูกระทู้อยู่. (0 สมาชิกและ 1 ผู้เยี่ยมชม)
Bookmarks