ดอกยาง
การเลือกใช้ลักษณะดอกยางให้ถูกต้องและเหมาะสมกับสภาพ การใช้งานนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง เพื่อให้ผู้ใช้
ได้รับประโยชน์จากการใช้งานอย่างเต็มที่ และตอบสนองลักษณะการขับขี่ที่แตกต่างกันด้วย ลายดอกยาง
จึงได้มีการคิดค้นและพัฒนามาโดยตลอด จนปัจจุบันมีลายดอกยางมากมายนับไม่ถ้วน อย่างไรก็ดี
หากแบ่งลายดอกยางโดยคำนึงถึงทิศทางการเคลื่อนที่ สามารถแบ่งได้ใน 2 ลักษณะ คือ
1) ดอกยางแบบ 2 ทิศทาง
เป็นลักษณะของลายดอกยางที่จะสามารถสลับยางได้ในทุกตำ แหน่งล้อของรถ ลักษณะดอกยางทั้ง 2 ด้าน
จะสวนทิศทางกัน หากเป็นการขับขี่ทั่วไป ไม่เน้นความเร็วสูง ดอกยางลักษณะนี้สามารถตอบสนอง
ความต้องการได้อย่างดีเยี่ยม
2) ดอกยางทิศทางแบบทิศทางเดียว (Uni-Direction)
ลายของดอกยางจะถูกบังคับให้หมุนไปในทิศทางเดียวเท่าน ั้น โดยมีลูกศรบอกทิศทางการหมุนอยู่ที่
แก้มยางทั้ง 2 ด้าน ดังนั้น การสลับยางจะสลับได้เพียงด้านเดียวเท่านั้น เช่น สลับด้านหน้าขวากับหลังขวา
หรือด้านหน้าซ้ายกับหลังซ้าย เว้นแต่จะถอดตัวยางออกจากกระทะล้อเดิมไปใส่กับกระทะล ้อฝั่งตรงกันข้าม
แต่ต้องจัดวางทิศทางการหมุนของดอกยางให้ถูกต้องเช่นเ ดิม มิเช่นนั้นแล้วจะทำให้ทิศทางการหมุนของยาง
เปลี่ยนกลับทิศทาง ทำให้ประสิทธิภาพของยางลดลง จุดเด่นของดอกยางแบบทิศทางเดียว คือ สามารถ
ไล่น้ำออกจากหน้ายางได้รวดเร็วกว่าแบบ 2 ทิศทาง ป้องกันอาการเหินน้ำ (Hydroplaning) ซึ่งจะทำให้
ควบคุมบังคับรถได้ลำบากและเกิดการลื่นไถลได้ง่าย
ตัวเลขและสัญลักษณ์บนแก้มยาง
ตัวเลขและตัวอักษรต่างๆ ที่ปรากฏอยู่บนแก้มยางรถยนต์นั้น สามารถบ่งบอกถึงคุณสมบัติของยางได้
หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขนาดของยาง เช่น หน้ากว้าง ซีรี่ส์ ขนาดขอบกระทะล้อ และยังบ่งบอกถึงขีดจำกัด
ความเร็วสูงสุด, ดัชนีในการรับน้ำหนักของยางเส้นนั้นๆ รวมไปถึงคุณสมบัติอื่นๆ อีกด้วย ซึ่งคุณสมบัติ
ดังกล่าวถือว่าเป็นข้อมูลทั่วๆไป ที่ท่านเจ้าของรถควรจะทราบเพื่อที่จะได้เลือกซื้อยาง ในครั้งต่อไปได้
อย่างถูกต้อง และเหมาะสมกับรถยนต์ของท่าน
สำหรับตัวเลขที่อยู่บนแก้มยางของรถเก๋ง โดยทั่วไปจะมีลักษณะดังตัวอย่างต่อไปนี้
195/60R14 85H
195 คือ ความกว้างยาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร
60 คือ ซีรีส์ยาง
R คือ โครงสร้างยางแบบเรเดียล
14 คือ เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว
85 คือ ดัชนีในการรับน้ำหนักของยางต่อเส้น
H คือ ขีดจำกัดความเร็วสูงสุด
สำหรับความหมายของตัวเลขและตัวอักษรบนแก้มยางรถกระบะ มีลักษณะดังนี้
195R14C 8PR
195 คือ ความกว้างยาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร
R คือ โครงสร้างยางแบบเรเดียล
14 คือ เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว
C คือ ยางที่ใช้เพื่อการขนส่ง (มาจากคำว่า commercial)
8PR คือ อัตราชั้นผ้าใบเทียบเท่า 8 ชั้น
(ในส่วนของซีรีส์ ถ้าไม่ได้ระบุ คือ ซีรีส์ 80)
ความหมายของตัวเลขและตัวอักษรบนแก้มยางรถขับเคลื่อน 4 ล้อ จะมีลักษณะดังนี้
31x10.5R15
31 คือ เส้นผ่าศูนย์กลางยาง มีหน่วยเป็นนิ้ว
10.5 คือ ความกว้างยาง มีหน่วยเป็นนิ้ว
R คือ โครงสร้างยางแบบเรเดียล
15 คือ เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว
การเปลี่ยนขนาดยาง
ข้อคำนึงในการเปลี่ยนขนาดยาง
โดยปกติแล้ว ยางที่ติดรถออกมาจากโรงงานประกอบของรถแต่ละยี่ห้อแต่ ละรุ่นนั้น เป็นยางที่เหมาะสม
กับการใช้งานที่สุดที่ทางบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ได้ทดสอ บแล้ว แต่เนื่องจากผู้ขับขี่แต่ละรายอาจมีความต้องการ
ที่แตกต่างกัน เช่น ต้องการให้เกาะถนนดีขึ้นเมื่อขับรถด้วยความเร็วสูงกว ่าปกติ เพื่อความนุ่มนวลที่เพิ่มมากขึ้น
ผู้ขับขี่จึงต้องการเปลี่ยนขนาดยางให้เหมาะสมและตรงก ับลักษณะการใช้งาน ซึ่งการเปลี่ยนยางใหม่แทนยาง
ชุดเก่าให้มีขนาดที่ถูกต้องเหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็นอย่ างยิ่ง โดยการเปลี่ยนขนาดยางที่ขนาดยางเส้นใหม่
มีความแตกต่างไปจากขนาดเดิมนั้น มีสิ่งที่จะต้องคำนึงถึงอยู่ 2 ประการ คือ
1) ความสามารถในการรับน้ำหนัก ต้องใกล้เคียงขนาดเดิม
2) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของยาง ต้องใกล้เคียงขนาดเดิม
การเปลี่ยนขนาดยางไม่ถูกต้องจะก่อให้เกิดผลเสีย ดังนี้
ขนาดยางเล็กไป
- ความสามารถในการรับน้ำหนักลดลง
- สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
- มาตรวัดความเร็วคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
ขนาดยางใหญ่ไป
- ยางเสียดสีกับส่วนหนึ่งส่วนใดของรถ
- พวงมาลัยหนักขณะใช้ความเร็วต่ำ
- มาตรวัดความเร็วคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
อายุการใช้งานของยาง
โดยปกติอายุของยางนั้นจะเริ่มนับตั้งแต่ถูกนำไปใช้งา น คือ หลังจากที่ยางประกอบเข้ากับกระทะล้อ
และติดตั้งเข้ากับรถยนต์แล้วนำไปวิ่งใช้งาน ซึ่งยางรถยนต์ทุกเส้นจะได้รับการรับประกันคุณภาพจาก
บริษัทผู้ผลิตแต่ละราย โดยสามารถศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขได้จากคู่มือการ รับประกันคุณภาพ
อายุของยางรถยนต์ ขึ้นอยู่กับการใช้งานของคุณเป็นสำคัญ เพื่อให้สามารถใช้งานได้ยาวนานและปลอดภัย
มีข้อแนะนำในการบำรุงรักษายางที่ถูกต้องดังต่อไปนี้
- ตรวจเช็คลมยางอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง โดยเติมลมยางตามมาตรฐาน
ที่ระบุในคู่มือรถยนต์
- บรรทุกน้ำหนักให้เหมาะสม ไม่มากเกินอัตราที่กำหนด เพื่อป้องกันการบวมล่อนและ
ระเบิดของโครงยาง
- ทำการสลับยางและตรวจเช็คศูนย์ล้อ ทุก ๆ ระยะทาง 10,000 กม. หรือตามคำแนะนำ
ของผู้ผลิตรถยนต์
- ขับขี่อย่างระมัดระวังบนถนนขรุขระ และหลีกเลี่ยงสิ่งมีคมต่าง ๆ รวมทั้งน้ำมันหรือสารเคมี
ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยและช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน จึงควรเพิ่มการดูแลเอาใจใส่ยางรถยนต์
มากยิ่งขึ้น และเลือกใช้ยางให้ถูกต้องเหมาะสมด้วย
การคำนวนเรื่องขนาดยาง
มีคำถาม บ่อยครั้ง ที่ท่านเจ้าของ รถยนต์ อยากที่จะเปลี่ยนล้อให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งในการเปลี่ยนล้อ สิ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือ ขนาดของยาง จะใช้ขนาดไหนดี ? อันนี้เราขอแนะนำให้พยายามเลือก ขนาดยางใหม่ ให้มีความสูง หรือ จะเรียกแบบเป็นทางการว่า เส้นผ่าศูนย์กลาง ให้มีขนาดหลังเปลี่ยนแล้ว ใกล้เคียงของเดิม ( Standard ) มากที่สุด เพราะจะได้ไม่เกิดผลข้างเคียง เช่น วิ่งไม่ออก , กินน้ำมัน , ติดซุ้ม , ติดโช๊ค เป็นต้น
ดังนั้น เราลองมาหาขนาด ยางใหม่ โดยใช้วิธีการคำนวนง่ายๆ แต่ทั้งนี้ เราต้องหาตัวเลขที่ยาง เพื่อนำมาเป็นข้อมูลด้วยนะครับ ลองดูตามนี้ได้เลยครับ...
[IMG]file:///C:/DOCUME~1/kookking/LOCALS~1/Temp/msohtml1/01/clip_image001.jpg[/IMG]
สูตรคำนวน D = ( W x S% x 2 ) + d
D = ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของยาง (หน่วยเป็น มม. )
W = ความกว้างของยาง
S = ซีรี่ย์ยาง คิดเป็น % แต่ต้อง คูณ 2 เพราะต้องคิดทั้ง 2 ข้าง บนและล่าง
d = เส้นผ่าศูนย์กลางของล้อ
ตัวอย่างที่ 1 ขนาดยาง 195 / 55 / R15
W = 195
S = 55% ของ 195 ( 195 x 55% ) x 2 ได้ผลลัพธ์ เท่ากับ 214.5 มม.
d = 15 นิ้ว ( ทำเป็น มม. จะได้ 15 x 25.4 ได้ผลลัพธ์ เท่ากับ 381 มม. )
ดังนั้น ขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลาง ได้เท่ากับ 214.5 + 381 = 595.5 มม.
ตัวอย่างที่ 2 ขนาดยาง 205 / 45 / R16
W = 205
S = 45% ของ 205 ( 205 x 45% ) x 2 ได้ผลลัพธ์ เท่ากับ 184.5 มม.
d = 16 นิ้ว ( ทำเป็น มม. จะได้ 16 x 25.4 ได้ผลลัพธ์ เท่ากับ 406.4 มม. )
ดังนั้น ขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลาง ได้เท่ากับ 184.5 + 406.4 = 590.9 มม.
ดังนั้น หากท่านใดที่จะเปลี่ยนขนาดล้อและยาง ก็ต้องคำนวน ขนาดความสูงออกมาให้ใกล้เคียงกับขนาดยางเดิม มากที่สุด ถึงจะไม่มีผลข้างเคียงต่อการขับขี่
Bookmarks