เห็นว่ามีประโยชน์กับ คนรักรถมือใหม่ และหง่อมๆ ทุกๆท่านคร้าบบบ ....555555
หากคุณไม่อยากเสียค่าซ่อมรถแพง ๆ หรือต้องการพัฒนาทักษะการขับรถ รวมทั้งเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนวันนี้เรามีคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องรถฉบับจัดเต็มมาฝากคุณ ถ้างั้นลองไปดูพร้อม ๆ กันเลยว่าจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง
1. ขจัดสิ่งรบกวน
เหมือนกับที่ครูสอนขับรถมักจะบอกย้ำ ๆ อยู่เสมอว่ามือของคุณจะหมุนไปตามทิศทางเดียวกับที่คุณหันไปมอง แค่คุณเปลี่ยนช่องวิทยุก็ใช้เวลา 5.5 วินาทีแล้ว ซึ่งนั่นเป็น 5.5 วินาที ที่คุณได้ละสายตาไปจากถนนและมือทั้งสองของคุณก็ไม่ได้อยู่บนพวงมาลัย แค่กดโทรศัพท์มือถือก็ทำให้คุณมีความเสี่ยงที่จะขับรถชนมากกว่าปกติถึง 3 เท่า หรือเพียงหันไปจับอะไรก็ตามที่เคลื่อนไหว คุณก็มีความเสี่ยงที่จะขับรถชนมากกว่าปกติ ถึง 9 เท่า ที่ร้ายที่สุดคือ การส่ง SMS ซึ่งทำให้คุณต้องเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุมากกว่าปกติถึง 23 เท่า ทางที่ดีคุณควรลงทุนติดตั้งระบบแฮนด์ฟรีพร้อมบลูทูธไว้ใช้ในรถ และส่ง SMS เฉพาะเวลาที่คุณจอดรถแล้วเท่านั้น
2. สาดโค้งบนทางดิน
รีส มิลเลน สตั๊นท์แมนขับรถผาดโผนบอกว่าการสไลด์ไปข้าง ๆ เป็นวิธีทำเวลาที่เร็วที่สุดในการสาดโค้งบนทางดิน เขาแนะนำให้เริ่มต้นสไลด์ผ่านการบังคับพวงมาลัยให้ท้ายปัดออกนอกโค้ง (ที่เรียกว่าโอเวอร์สเตียร์ในการเข้าโค้ง) แล้วหมุนพวงมาลัยไปในทิศทางตรงกันข้ามกับโค้งเพื่อเบรคไม่ให้ท้ายปัด หลังจากนั้นให้หักกลับมาในทิศทางตรงกันข้ามเพื่อสไลด์ไปในทิศทางที่คุณจะไป พอรถเริ่มสไลด์ก็ควบคุมโดยการเหยียบคันเร่งเพิ่มหรือผ่อนคันเร่ง การเหยียบคันเร่งมากหรือน้อยช่วยควบคุมมุมที่เข้าโค้งให้กว้างหรือแคบ ยิ่งเร่งมากจะยิ่งทำให้รถสาดไปข้าง ๆ มากขึ้น ถ้าคุณผ่อนเท้าออกจากคันเร่ง รถก็ยังสาดไปอยู่ตามแรงต้น แต่ความเร็วจะเริ่มลดลงและเข้าสู่ทางตรงอีกครั้ง ควรทดลองสาดโค้งแบบนี้บนทางที่มีดินเยอะ ๆ และไม่มีต้นไม้
3. มีสมาธิ
ข้อมูลจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Human Perception and Performance ระบุว่า การจ้องมองถนนทางตรงเป็นเวลานานกว่า 5 นาที ทำให้สมองของคุณล้า ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณขับรถเร็วและประมาทในการกะระยะระหว่างรถคุณและคันหน้า ให้คุณคอยดูกระจกมองหลังทั้งกระจกตรงกลางซ้ายและขวา รวมทั้งหน้าปัดความเร็วทุกครั้งที่เพลงจบวิธีนี้จะช่วยให้สายตาและสมองทำงานได้ว่องไวขึ้น
4. ข้ามน้ำหรือลำธาร
อย่าขับรถลุยลงไปในน้ำหากน้ำสูงกว่ากระจังหน้ารถซึ่งเป็นบริเวณที่มีการดูดอากาศจากภายนอกเข้ามาในเครื่องยนต์ ให้ขับรถลงน้ำตรงจุดที่กระแสน้ำดูไม่แรงเกินไปโดยขับทแยงลงไปเพื่อให้มีพื้นผิวที่จะต้องปะทะกับกระแสน้ำน้อยที่สุด ค่อย ๆ ขับลงไปในน้ำโดยเร่งความเร็วพอสมควร ความเร็วที่พอเหมาะจะทำให้เกิดระลอกคลื่นซึ่งช่วยผลักดันน้ำออกไป น้ำในบริเวณหน้ารถจึงตื้นขึ้น จากนั้นให้คอยควบคุมความเร็วรถให้สม่ำเสมอ
5. ลดระดับเบาะที่นั่ง
เวลานั่งขับรถอยู่บนเบาะที่ปรับให้สูง จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนขับรถช้ากว่าปกติ ด้วยเหตุนี้ผู้ขับขี่รถเอสยูวีซึ่งเป็นรถที่มีความเสี่ยงที่จะหมุนได้ง่ายอยู่แล้ว จึงมักขับรถเร็วกว่าคนที่ขับรถประเภทอื่น เพราะเข้าใจว่ารถตัวเองกำลังคลานไปช้า ๆ ดังนั้นเจ้าของรถเอสยูวี ควรจะปรับเบาะที่นั่งให้ต่ำลงเพื่อที่จะได้รับรู้ความเร็วที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้น แต่อย่าปรับลดระดับเบาะที่นั่งลงมาจนต่ำสุด ๆ เหมือนนักขับรถซิ่งทั้งหลายที่ชอบหมุนรถโชว์ก็แล้วกัน อย่าลืมนะว่าคุณไม่ได้เป็นหนุ่มนักซิ่ง
6. เพิ่มแรงม้า
หากคุณเป็นเจ้าของรถที่มีเทอร์โบมาพร้อม คุณคงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า การปรับแต่งโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อเพิ่มแรงม้า ไม่ว่าคุณจะขับรถเบนท์ลีย์ทวินเทอร์โบ หรือโฟล์คสวาเกนเครื่องยนต์ดีเซล 1.8 ลิตร ที่แสนจะธรรมดา ลองเสียเวลาแค่ไม่กี่นาทีให้ช่างปรับตั้งกล่องควบคุม รถคุณก็จะมีแรงม้าเพิ่มขึ้นได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์
7. คืนชีวิตให้กับแบตเตอรี่
ถ้าสตาร์ทรถไม่ติดเพราะขั้วแบตเตอรี่เต็มไปด้วยตะกรันสนิม เพียงเปิดกกระป๋องโค้ก แล้วราดลงไปบนขั้วแบตเตอรี่ กรดในน้ำโค้กจะช่วยชะล้างตะกรัน ทำให้สามารถต่อและส่งกระแสไฟในการจั๊มป์สตาร์ทได้สำเร็จ เมื่อคุณกลับถึงบ้านให้เอาน้ำฉีดที่ขั้วแบตเตอรี่เพื่อล้างคราบน้ำโค้กที่ติดอยู่ แล้วใช้ผ้าเช็ดน้ำให้แห้ง
8. งดของหวาน
ถ้าคุณไม่อยากเผชิญหน้ากับภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำซึ่งทำให้รู้สึกง่วงเวลาที่ขับรถ โมนีค ไรอันนักโภชนาการ ผู้แต่งหนังสือ Sport Nutrition for Endurance Athletes แนะนำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วยการกินอาหารที่มีไฟเบอร์สูงอย่างลูกแพร์หรือแอปเปิล และดื่มน้ำเปล่า
9. หาแผ่นรองหลังมาหนุน
ถ้าพนักพิงหลังในรถคุณไม่สามารถปรับความแข็ง-อ่อนได้ ให้ซื้อแผ่นรองหลังมาเสริมหรือจะให้ง่ายกว่านั้นก็แค่ม้วนผ้าเช็ดตัวและนำมาหนุนตรงที่มีช่องว่างระหว่างบั้นเอวกับเบาะก็โอเคแล้ว ยิ่งคุณประคองกระดูกสันหลังได้มากเท่าไรโอกาสที่จะปวดหลังยิ่งมีน้อยลงเท่านั้น
10. กำจัดของที่ไม่จำเป็นลงจากรถ
เมื่อลดน้ำหนักบรรทุกของลงได้ทุก ๆ 50 กิโลกรัม รถคุณจะประหยัดน้ำมันลงไป 1-2 เปอร์เซ็นต์ให้เคลียร์ของในที่กระโปรงท้ายและเบาะหลังก่อนที่จะออกจากบ้าน และถ้ารถคุณมีตะแกรงบรรทุกสัมภาระบนหลังคาแต่ไม่ใช้ก็แค่ถอดออกซึ่งจะช่วยประหยัดน้ำมันลงได้ถึง 5 เปอร์เซ็นต์
11. เคลียร์กระเป๋ากางเกง
โดยเฉลี่ยผู้ชายใช้เวลาขับรถวันละ 67 นาที ดังนั้นการที่คุณยัดกระเป๋าตังค์บวม ๆ ไว้ในกระเป๋ากางเกงที่อยู่ข้างหลังจะทำให้สะโพกสองข้างหนาไม่เท่ากัน เวลานั่งบนเบาะกระดูกสันหลังก็เลยคดและส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก นอกจากนี้สจ็วร์ต แมคกิจ อาจารย์มหาวิทยาลัยวอเตอร์ลู ออนแทรีโอ บอกว่า การใส่ของหนา ๆ เข้าไปในกระเป๋ากางเกงยังเป็นการเพิ่มแรงกดลงบนเส้นประสาทบริเวณกระดูกสะโพกซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดหลัง
12. คาดเข็มขัดนิรภัย
ผู้ชาย 1 ใน 5 คนเข้าใจว่าเมื่อรถมีถุงลมนิรภัยแล้วก็ไม่ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย ทั้ง ๆ ที่ความจริงการไม่คาดเข็มขัดนิรภัยอาจทำให้ถุงลมนิรภัยกลายเป็นเพชฌฆาตที่คร่าชีวิตคนได้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยพิตส์เบิร์กได้วิจัยข้อมูลย้อนหลัง 12 ปีจากอุบัติเหตุรถยนต์ที่ถุงลมนิรภัยทำงาน พบว่าผู้ขับขี่รถยนต์ที่ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยมีโอกาสบาดเจ็บที่คอและกระดูกสันหลังมากกว่าผู้ขับขี่รถยนต์ที่คาดเข็มขัดถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ทีมนักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าถ้าคุณไม่คาดเข็มขัดขณะที่รถชน หัวของคุณจะพุ่งไปอัดกับถุงลมนิรภัยซึ่งถูกดันออกมาด้วยความเร็ว 322 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
13. ปรับแอร์ให้เป็นแบบหมุนเวียน
การปิดแอร์ช่วยประหยัดน้ำมันเฉพาะเวลาที่คุณขับรถในเมือง แต่ถ้าคุณต้องขับรถบนไฮเวย์ การเปิดหน้าต่างขับรถยิ่งทำให้รถวิ่งได้ช้า ซึ่งส่งผลให้รถคุณยิ่งกินน้ำมันมากขึ้น ทางที่ดีคุณควรปรับระบบแอร์ให้เป็นแบบหมุนเวียนโดยใช้อากาศเย็นที่ได้รับการปรับอุณหภูมิแล้วภายในห้องโดยสาร วิธีนี้ช่วยประหยัดพลังงานลงได้มากกว่าเพราะแอร์ไม่ต้องทำงานหนักในการปรับอากาศร้อนจากภายนอกตลอดเวลา
14. ประหยัดคลัทช์
อย่าเหยียบคลัทช์ค้างไว้นานก่อนที่จะเปลี่ยนเกียร์ คุณจะเร่งสปีดรถได้ดีกว่าและถนอมรักษาคลัทช์ไว้ให้มีอายุใช้งานได้นาน หากคุณรู้จักใช้คลัทช์อย่างประหยัด
15. ใช้พนักพิงศีรษะ
ก่อนที่จะออกรถให้คุณนั่งหลังตรงแล้วยืดศีรษะขึ้นให้สูงที่สุดพร้อม ๆ กับดันศีรษะไปที่พนักพิง ทำท่านี้ค้างไว้ 5 วินาที จากนั้นค่อยผ่อนคลายลง ทำซ้ำทั้งหมด 5 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยปรับท่านั่งขับรถของคุณให้ถูกต้องขึ้น และช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อหลังให้ทำงานและปรับกระดูกสันหลังให้ตรงคุณจึงไม่เมื่อยคอขณะขับรถ
16. แต่งรถให้สวย
ถ้าคุณอยากแต่งรถใหม่ให้ดูไม่เวอร์ควรเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนล้อแม็กซ์ นอกจากค่าใช้จ่ายจะไม่สูงแล้วยังรวดเร็วอีกด้วย แถมคุณก็ไม่ต้องเอารถไปทิ้งไว้ให้ทำนานเป็นอาทิตย์ ถ้ารถของคุณเป็นรุ่นหรูอยู่แล้ว คุณอาจจะไม่ต้องเปลี่ยนแม็กซ์ด้วยซ้ำ ลองเปลี่ยนสีล้อด้วยการทำสีพาวเดอร์โค้ดแค่นี้ก็ดูดีแล้ว
ซื้อรถอย่างไรให้คุ้มค่า
17. ถามหารถทดลองขับ
หากต้องการซื้อรถมือสอง รถตัวอย่างที่โชว์รูมใช้สำหรับให้ลูกค้าทดลองขับก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะรถพวกนี้จะไม่ได้ถูกใช้งานไปมากนักก่อนที่จะขาย และยังมีการเก็บข้อมูลอย่างดีเนื่องจากโชว์รูมจะต้องขายรถพวกนี้ออกไปเมื่อครบกำหนดเวลาหรือระยะการใช้งาน รถมือสองที่วิ่งน้อยและมีบันทึกการใช้งานจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คุ้มค่า
18. เตรียมตัวให้พร้อม
ก่อนที่จะไปโชว์รูมขายรถ อย่าลืมทำการบ้านเรื่องเงื่อนไขการผ่อนชำระและเช็คเครดิตของคุณไปให้พร้อมก่อน และอย่าเลือกผ่อนชำระนานกว่าระยะเวลาที่คุณตั้งใจจะใช้รถคันนั้น โดยทั่วไปหากยอดผ่อนรายเดือนที่คุณจ่ายไหวทำให้คุณต้องผ่อนเกิน 4 ปี แปลว่ารถคันนั้นราคาสูงเกินไปสำหรับคุณ
19. เลือกเวลาที่เหมาะสม
พนักงานขายส่วนมากจะวุ่นอยู่กับการทำยอดขายให้ได้ตามแผนในช่วงปลายเดือน นั่นคือเวลาที่คุณควรจะไปซื้อรถ ยิ่งคุณไปถึงโชว์รูมแต่เช้าก็ยิ่งจะได้รับบริการเป็นอย่างดี เพราะพนักงานขายมักใส่ใจกับลูกค้ารายแรก ๆ ที่เข้ามาในโชว์รูม
20. ทดลองขับรถเป็นสิ่งสุดท้าย
การทดลองขับรถเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการเลือกซื้อรถ คุณควรลองขับรถหลังจากต่อรองทุกสิ่งอย่างจนพอใจเรียบร้อยแล้ว พนักงานขายมักจะคะยั้นคะยอให้คุณทดลองขับรถให้เร็วที่สุด เพราะเมื่อขับรถแล้วถูกใจ ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ที่คุณจะตัดสินใจซื้อรถ
21. เลือกรถในสต็อค
ตัวแทนจำหน่ายรถบางรายได้เครดิตในการนำรถมาเก็บไว้ในสต็อคเพื่อขาย ถ้าอยากได้ข้อเสนอดี ๆ ลองเลือกดูรถที่อยู่ในสต็อค โดยเฉพาะรถที่เก็บมานานกว่า 3 เดือน เพราะตัวแทนจำหน่ายอยากจะขายรถพวกนี้ออกไปก่อนเพื่อนำเงินไปจ่ายให้แก่บริษัทแม่
22. รู้จักต่อรอง
ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อรถที่โชว์รูมไหน คุณควรเช็คราคารถหลาย ๆ แห่ง เพื่อข้อเสนอที่ดีที่สุด เมื่อเลือกโชว์รูมได้แล้ว อย่าเพิ่งรีบตกลงปลงใจ เพราะคุณยังสามารถต่อรองขอส่วนลดเพิ่มหรือของแถมจากพนักงานขายได้อีก ให้ต่อรองจนกว่าคุณจะได้ข้อเสนอที่พอใจ[/COLOR] 23. ระวังของลดราคา
โปรโมชั่นประเภท "ซื้อตอนนี้รับส่วนลดทันที 20,000 บาท" อาจฟังดูน่าสนใจ แต่คุณต้องชอบรถคันนั้นจริง ๆ (เพราะเมื่อซื้อมาแล้วคุณจะต้องใช้รถคันนี้ต่อไปอีกหลายปี) รถที่มีราคาถูกมาก ๆ ตั้งแต่ตอนซื้อ จะราคาตกลงไปมากเวลาที่คุณขาย ส่วนพวกรถตกรุ่นที่จะไม่มีการผลิตแล้วก็ยิ่งไม่น่าซื้อ เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นรถคลาสสิก
24. เช็คข้อมูลในเน็ต
ก่อนจะตัดสินใจซื้อรถให้หาข้อมูลเพิ่มเติมในเน็ต รวมทั้งลองดูความเห็นของคนที่ซื้อรถรุ่นนั้นไปแล้ว หนึ่งในเว็บบอร์ดที่ได้รับความนิยมคือ pantip.com
25. เอาตัวรอดเวลารถตกน้ำ
สมัยนี้รถยนต์ส่วนใหญ่จะใช้กระจกไฟฟ้า ถ้าหากรถตกน้ำไฟฟ้าจะช็อตและเปิดกระจกไม่ได้ ให้ลงทุนซื้ออุปกรณ์อย่างค้อนหรือไขควงปากแบนขนาดใหญ่เก็บไว้ตามที่ใส่ของในรถ ถ้าเกิดมีอุบัติเหตุรถตกลงไปในน้ำจะได้มีอุปกรณ์ทุ่นแรงไว้ทุบกระจกให้แตก
26. เตรียมยาหรือขนมแก้เมารถ
สำหรับคนที่ชอบเมารถ ให้ลองกินคุกกี้รสขิง (หากไม่มียาแก้เมารถ) เพราะการปล่อยให้ท้องว่างจะทำให้เมารถมากขึ้น และงานวิจัยพบว่าขิงช่วยป้องกันและบรรเทาอาการเมารถได้
27. ดูแลใบปัดน้ำฝน
ปกติใบปัดน้ำฝนจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ได้รับการดูแล ทั้ง ๆ ที่เป็นอุปกรณ์สำคัญที่จะช่วยให้คุณมองเห็นได้ชัดขึ้นเวลาฝนตก สมาคมรถยนต์อธิบายว่าใบปัดที่ดีจะต้องมีเฉพาะส่วนขอบของใบแนบอยู่กับกระจกหน้ารถ ถ้าหากเวลาคุณปัดน้ำฝนแล้วได้ยินเสียงดังหรือเห็นว่ามีการสะดุด ควรไปให้ศูนย์บริการปรับตั้งหรือเปลี่ยนใบปัดให้ใหม่จะดีกว่า
28. มองถนนให้ไกล
อีกหนึ่งพฤติกรรมการขับรถที่ไม่ดีคือการจ้องมองพื้นถนนข้างหน้ารถหรือท้ายรถคันหน้า ทางที่ดีคุณควรฝึกมองไปข้างหน้าไกล ๆ อย่างเช่น ขณะที่เข้าโค้งก็ให้มองจุดออกจากโค้ง การมองแบบนี้ อาจทำให้คุณรู้สึกเหมือนจะหลุดออกไปนอกถนน แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะการมองเห็นทั้งโค้ง จะช่วยให้คุณเข้าโค้งตามไลน์ได้ถูกต้อง
29. เช็คลมยาง คริส โจแฮนสัน
ผู้แต่งหนังสือ Auto Diagnosis, Service and Repair บอกว่า "เมื่อลมยางต่ำกว่าปกติ ยางจะสัมผัสและเกิดแรงเสียดทานกับพื้นถนนเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ยางสึกเร็วกว่าที่ควร อีกทั้งยังทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักและสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น" ในทางตรงกันข้ามการเติมลมยางเกินกว่าที่กำหนดจะทำให้ยางแข็งและไม่ยืดเกาะถนน ควรตรวจสอบคู่มือการใช้รถของคุณและเติมลมยางให้ถูกต้อง
30. อย่าขับจี้ท้ายคันหน้า
ทอม แวนเดอร์บิลต์ ผู้แต่งหนังสือขายดี ชื่อ Traffic บอกว่า การขับจี้ท้ายรถคันหน้าทำให้รถติด แวนเดอร์บิลต์อธิบายว่า คนขับรถจะต้องเหยียบเบรคบ่อยเกินเหตุเวลาขับจี้ท้าย ดังนั้นรถคันหลังที่ขับตามมาก็จะต้องเหยียบเบรคตามไปด้วย ทุกคนเลยขับรถกระตุกแบบเหยียบเบรคแล้วก็ปล่อยตามกันไปเป็นแถว
31.ถอยรถจอดขนานอย่างโปร
คนที่ถอยรถจอดขนานไม่เก่งควรอ่านคำแนะนำนี้ ล้อแม็กซ์ราคาแพงจะได้ไม่ต้องเป็นรอยเพราะเบียดกับขอบฟุตปาธ ในกรณีที่ไม่มีอุปกรณ์เตือนเวลาถอยหรืออุปกรณ์ไม่ทำงาน ให้คุณปรับมุมกระจกมองข้าง ด้านคนนั่งเอียงลงให้เห็นขอบฟุตปาธและรถด้านข้าง เพื่อที่จะได้เห็นล้อและขอบฟุตปาธเวลาถอยจอดขนาน พอจอดเรียบร้อยก็ปรับกระจกมองข้างกลับมาไว้ที่มุมมองปกติ สำหรับรถรุ่นใหม่บางรุ่นจะมีกระจกมองข้างที่ปรับอัตโนมัติเวลาถอยจอดที่เรียกว่า "อินเดกซิ่ง" (Indexing)
32. เมาไม่ขับ
เวลาที่คุณจะไปท่องราตรีกับเพื่อนหรือแฟนให้คุณทิ้งรถไว้ที่บ้านแล้วนั่งแท็กซี่แทนดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสี่ยงถูกตำรวจจับข้อหาเมาแล้วขับ (ขอน้ำ 3 ขวด อันนี้ไม่ได้ช่วยนะคร้าบบบ 555 ) รวมทั้งหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุด้วย
33. เร็วกว่าย่อมได้เปรียบ
การเหยียบคลัทช์ค้างไว้ก่อนขณะที่เข้าเกียร์ช่วยให้รถวิ่งไปอย่างนุ่มนวลไม่สะดุด แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ทำให้เกิดความร้อนจนรถอืด ดังนั้นอย่ามัวรอช้ารีบสับเกียร์แล้วถอนเท้าออกจากคลัทช์ให้เร็วที่สุด
สอนลูกอย่างไรให้ขับรถเป็น
34. หาพื้นที่โล่ง ๆ ให้ฝึกขับ
เด็กที่หัดขับรถใหม่ ๆ จะตกใจง่าย และทำอะไรไม่ถูกเมื่อรถพุ่งเข้าไปหาสิ่งกีดวางต่าง ๆ อย่างเช่น แผงกั้นตามที่จอดรถ ดังนั้นเวลาพาลูกไปหัดขับรถให้หาพื้นที่โล่ง ๆ สอนให้เขาหันไปดูตามทิศทางที่เขาจะเลี้ยว แล้วค่อยหมุนพวงมาลัยไปในทิศทางเดียวกัน นอกจากนั้นคุณต้องคอยฝึกลูกให้ขับรถไม่ให้ส่ายไปมาด้วย
35. เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก
วัยรุ่นที่ขับรถไม่ดีมักจะมีพ่อแม่ที่ขับรถไม่ดีด้วย เพราะฉะนั้นการขับรถของคุณจะเป็นแบบอย่างให้กับลูกของคุณ อย่าขี้โมโห ให้ใจเย็น ๆ เวลาขับรถ ลูกคุณจะได้ขับรถอย่างใจเย็นเหมือนคุณ
36. อธิบายให้ลูกเห็นภาพ
ควรอธิบายให้ลูกนึกภาพออก แทนที่จะไปนั่งอธิบายตัวเลขหรือทฤษฎี ตัวอย่างเช่น แทนที่คุณจะบอกว่า "ต้องใช้ระยะเพิ่มจากปกติอีก 25 เมตร เพื่อหยุดรถที่วิ่งมาด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพราะทุก ๆ วินาที ที่เบรคทำงานช้าจะต้องการระยะทางเพิ่มขึ้น" ลองบอกลูกว่า "หากรถวิ่งมาด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต้องใช้ระยะทาง 85 เมตรในการเบรค ซึ่งเป็นระยะทางที่สั้นกว่าความยาวของสนามรักบี้อยู่แค่ 15 เมตร"
37. อย่าใช้นิ้วเท้าเหยียบคันเร่ง
บางคนชอบใช้นิ้วเท้าเหยียบคันเร่ง ซึ่งทำให้ควบคุมความเร็วได้ไม่สม่ำเสมอและเปลืองน้ำมันเวลาขับ ควรสอนให้ลูกใช้ฝ่าเท้าเหยียบคันเร่งซึ่งจะทำให้ออกแรงได้สม่ำเสมอ และควบคุมความเร็วได้ดีกว่า
38. สิ่งที่รบกวนสมาธิ
ควรอธิบายให้ลูกคุณเข้าใจถึงสิ่งที่จะรบกวนสมาธิเวลาขับรถ ไม่ว่าจะคุยโทรศัพท์มือถือ หรือแม้กระทั่งฟังเพลงที่ดังเกินไป และแย่ที่สุดคือการรับหรือส่ง SMS จากการศึกษาของสถาบันขนส่งเวอร์จิเนียเทคพบว่า คนที่ส่งข้อความขณะขับรถมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุมากกว่าคนขับรถปกติถึง 23 เท่า
39. ใช้ไฟตัดหมอก
เรย์ ไทสัน อดีตโฆษณาของคณะกรรมการรณรงค์เพื่อความปลอดภัยในการจราจรของแอฟริกาใต้ บอกว่าไฟตัดหมอกสามารถส่องผ่านไอน้ำได้ดีกว่าไฟหน้ารถปกติ และโดยปกติไฟตัดหมอกจะถูกติดตั้งไว้ด้านล่างของกันชนหน้าเพื่อป้องกันแสงสะท้อน ในขณะที่ไฟสูงจะทำให้จ้าและมองไม่เห็นผ่านสายหมอก คุณควรแนะนำให้ลูกใช้ไฟตัดหมอกแทนการส่องไฟสูงเมื่อมีหมอกลงจัด
40. รีบนำรถไปซ่อมหากกระจกมีรอยร้าว
ถ้าหากกระจกร้าวเพราะถูกหินกระเด็นใส่ คุณควรบอกให้ลูกรีบนำรถไปซ่อม เพราะรอยร้าวที่มีขนาดเล็ก ร้านกระจกมาตรฐานจะสามารถซ่อมได้ แต่หากทิ้งไว้แล้วเกิดรอยร้าวเพิ่มอาจทำให้ต้องเปลี่ยนกระจกใหม่ทั้งบาน
Bookmarks